ความคืบหน้ากรณี "ภาษีทรัมป์" เว็บไซท์ข่าว CNBC รายงานความเคลื่อนไหวตลาด "หุ้นเอเชีย" ที่ยังวิกฤตเพราะพิษมาตรการอัตราภาษีศุลกากร "วันปลดแอก" เปิดตลาด นักลงทุนเทขายอย่างต่อเนื่อง เพราะกังวลถึงความเสี่ยงจาก "สงครามการค้า" โดยตลาดหุ้นฮ่องกง เป็นตลาดที่ปรับตัวลดลงมากที่สุดในภูมิภาค ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng) ลดลง 9.56% ในการซื้อขายช่วงเช้า ส่วนดัชนีซีเอสไอ 300 (CSI 300) ของจีนแผ่นดินใหญ่ ลดลง 4.82%
ดัชนีนิคเคอิ 225 (Nikkei 225) ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 6.40% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 18 เดือน ในขณะที่ดัชนี โทปิกซ์ (TOPIX) ลดลง 6.62% ส่งผลให้ตลาดฟิวเจอร์สหุ้นญี่ปุ่น ถูกระงับการซื้อขายชั่วคราว ตามมาตรการหยุดการซื้อขาย ส่วนเกาหลีใต้ ดัชนีคอสปิ (Kospi) ลดลง 4.32% และดัชนีกอสแด็ก (Kosdaq) ลดลง 3.52%
หนังสือพิมพ์นิกเคอิของญี่ปุ่น รายงานว่า นิสสัน มอเตอร์ (Nissan Motor) กำลังพิจารณาย้ายฐานการผลิตรถยนต์บางส่วนจากญี่ปุ่นไปยังสหรัฐฯ โดยเร็วที่สุดช่วงฤดูร้อนนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการขึ้นภาษี และผลิตรถยนต์รุ่นที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ อยู่แล้ว คือ เอสยูวี รุ่น โร้ก (Rogue) โดยจะลดการผลิตที่โรงงานในจังหวัดฟุกุโอกะลง ขณะที่นายกรัฐมนตรี ชิเงรุ อิชิบะ เตรียมเดินทางไปเจรจาาหาทางออกที่สหรัฐฯ โดยเป็นหนึ่งใน 50 ประเทศ ที่ทำเนียบขาวระบุว่า ติดต่อไปขอเจรจาเพื่อคลี่คลายวิกฤตภาษีศุลกากรอัตราใหม่
ในการให้สัมภาษณ์นักข่าวบนเครื่องบินประจำตำแหน่ง "แอร์ ฟอร์ซ วัน" (Air Force One) ทรัมป์บอกว่า..
"ผมบอกไม่ได้ว่าตลาดจะเกิดอะไรขึ้น แต่ผมบอกได้ว่าประเทศของเราแข็งแกร่งขึ้นมาก และในที่สุดแล้วจะกลายเป็นประเทศที่ไม่เหมือนใคร จะเป็นประเทศที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก"
และเมื่อถูกถามถึงสถานการณ์ในตลาดหุ้น เขาบอกเพียงว่า "บางครั้งคุณก็ต้องกินยา" เขายังบอกด้วยว่า "เราขาดดุลการค้ามหาศาลกับจีน สหภาพยุโรป และอีกหลายประเทศ วิธีเดียวที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้คือการใช้ภาษีศุลกากร ซึ่งขณะนี้กำลังนำเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์เข้าสู่สหรัฐฯ ภาษีศุลกากรมีผลบังคับใช้แล้วและเป็นสิ่งที่น่ายินดีอย่างยิ่ง การเกินดุลของประเทศเหล่านี้เพิ่มขึ้นในช่วงที่โจ ไบเดนซึ่งเป็น ประธานาธิบดี เราจะแก้ไขมัน และแก้ไขมันอย่างรวดเร็วสักวันหนึ่งผู้คนจะตระหนักว่าภาษีศุลกากรสำหรับสหรัฐอเมริกานั้นเป็นสิ่งที่น่ายินดีอย่างยิ่ง!"
แต่ที่ถูกจับตามอง คือ การตอบโต้ของจีนที่ไม่ต่างจาก "ช้างชนช้าง" แต่ฝั่งที่เจ็บตัวกว่าน่าจะเป็นสหรัฐฯ เอง เพราะบริษัทอเมริกันพยายามเปิดตลาดจีนที่ได้ชื่อว่า มีขนาดใหญ่ เมื่อจีนขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้สหรัฐฯ ในอัตรา 34% บ้าง ก็อาจทำให้บริษัทอเมริกันบางรายต้องรามือจากจีนไป โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่ถูกจีนเรียกเก็บ 10% หรือ 15% เพื่อตอบโต้กำแพงภาษีรอบที่แล้วของทรัมป์ และตอนนี้ ถ้าเพิ่มขึ้นอีก 34% ก็ยิ่งทำให้สินค้าอเมริกันหมดหนทางอยู่ในตลาดจีนได้อีกต่อไป ตรงข้ามกับจีน ที่จะหาแหล่งซื้อสินค้า เช่น ข้าวฟ่าง หมูและไก่ ได้ไม่ยาก
ภาษี "วันปลดแอก" (Liberation Day) ของทรัมป์ ยังส่งผลกระทบที่รุนแรงไปยังบรรดามหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก ที่มูลค่าทรัพย์สินและมูลค่าหุ้นหายวับไปหลายล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะอิลอน มัสก์ พันธมิตรใกล้ชิดที่สุดของทรัมป์ ที่ไม่ได้ตำหนิทรัมป์โดยตรง แต่โยนระเบิดไปที่ "ปีเตอร์ นาวาร์โร" ที่จบปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์ "มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด" (Harvard University) และได้ชื่อว่าเป็น "สถาปนิก" ที่อยู่เบื้องหลังมาตรการภาษีใหม่
โดยมัสก์ได้โพสต์บนทวิตเตอร์ถึงนาวาร์โรว่า เป็นคนที่ "ไม่มีความสามารถ" และโจมตีสถาบันอันทรงเกียรติด้วยว่า "การได้ปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดนั้น เป็นเรื่องที่แย่ ไม่ใช่เรื่องดี มันมีผลให้เกิดปัญหาด้านอัตราและสมอง และตอกย้ำถึงการดูถูกด้วยการแสดงความคิดเห็นว่า "ใช่" ใต้คำกล่าวของโทมัส โซเวลล์ นักเศรษฐศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่ระบุว่า "ในภัยพิบัติทุกครั้งในประวัติศาสตร์อเมริกา ดูเหมือนว่าจะมีคนจากฮาร์วาร์ดอยู่ท่ามกลางเหตุการณ์นั้นเสมอ"