หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันพุธ (2 เมษายน) เรื่องขึ้นภาษีศุลกากรที่เป็นการขยายสงครามการค้าและสร้างความโกลาหลไปทั่วโลก เขายังคงไปตีกอล์ฟ และร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่สนามกอล์ฟในรัฐฟลอริดาเมื่อวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ และร่วมการแข่งขันกอล์ฟที่สนามกอล์ฟอีกแห่งในเช้าวันเสาร์ (5 เมษายน) วันเดียวกับที่การเก็บภาษีศุลกากรพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้านำเข้าทุกชนิดเริ่มบังคับใช้ ส่วนการเก็บภาษีอัตราสูงกว่ากับอีกหลายสิบประเทศจะเริ่มบังคับใช้ในวันพุที่ 9 เมษายน
ขณะที่หุ้นหลักทั้ง 3 ตัวของสหรัฐฯ ดิ่งลงกว่า 5% เมื่อวันศุกร์ โดย S&P500 ร่วงเกือบ 6% นับเป็นสัปดาห์ที่เลวร้ายที่สุดของตลาดหุ้นสหรัฐฯ นับจากปี 2563 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากภาษีศุลกากรอัตราใหม่ของทรัมป์ และการตอบโต้จากประเทศต่าง ๆ และตลอด 3 วัน หุ้น Dow Jones ตกลงไป 9.2%, S&P500 ร่วง 10.5% และ Nasdaq ดิ่งลง 11.4%
แต่ทรัมป์ยังคงมั่นใจว่า นโยบายของเขาจะส่งผลดีในระยะยาวเพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศต่าง ๆ, ปกป้องอุตสาหกรรมของชาวอเมริกันและเพิ่มการสร้างงาน จากการที่บริษัทต่าง ๆ จะย้ายการผลิตกลับสู่สหรัฐฯ
ทรัมป์โพสต์ในโซเชียลมีเดียในเช้าวันเสาร์ โดยอ้างว่า สามารถดึงงานและธุรกิจกลับคืนมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มีการลงทุนมากกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งบอกด้วยว่า “นี่เป็นการปฏิวัติทางเศรษฐกิจ และเราจะชนะ หนักแน่นไว้ มันไม่ง่าย แต่ผลลัพธ์ปลายทางจะเป็นประวัติศาสตร์ เราจะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง”
ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์วิจารณ์ว่า การขึ้นภาษีของทรัมป์ครั้งนี้เป็นนโยบายที่เลวร้ายที่สุดในรอบเกือบ 100 ปีของสหรัฐฯ นับจากการขึ้นภาษีศุลกากรในปี 2473 ที่หวังเพิ่มรายได้และแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ แต่กลับซ้ำเติมเศรษฐกิจตกต่ำให้ยิ่งเลวร้ายลงอีก
นักเศรษฐศาสตร์ ยังเตือนด้วยว่า ภาษีอัตราใหม่ของทรัมป์จะทำให้สหรัฐฯ เผชิญอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น, ราคาสินค้าแพงขึ้น, การเติบโตทางเศรษฐกิจจะชะลอตัว และความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยเพิ่มขึ้น