ความสัมพันธ์เก่าแก่แคนาดา-สหรัฐฯ จบแล้ว หลังทรัมป์ขึ้นภาษีรถ

นายกรัฐมนตรีมาร์ค คาร์นีย์ ของแคนาดา เป็นหนึ่งในผู้นำโลกที่ออกมาประณามการตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ประกาศเมื่อวันพุธว่า จะเก็บภาษีศุลกากรอัตรา 25% สำหรับรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นการยกระดับสงครามการค้าในวงกว้าง

คาร์นีย์ กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า “ความสัมพันธ์เก่าแก่ที่เราเคยมีกับสหรัฐฯ ทั้งในด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวพันกันลึกซึ้ง และความร่วมมือด้านความมั่นคงและทางทหารอย่างเข้มแข็ง จบลงแล้ว” และแคนาดาจำเป็นต้องลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทางการค้ากับหุ้นส่วนอื่น ๆ

เขาบอกด้วยว่า สหรัฐฯ ไม่ใช่หุ้นส่วนที่เชื่อใจได้อีกต่อไป และด้วยการเจรจาอาจสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นบางส่วนกลับมาได้ แต่จะไม่กลับไปเหมือนเดิมอีกแล้ว ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาเลือกไปเยือนฝรั่งเศสและอังกฤษเป็นจุดหมายแรกของการเยือนต่างประเทศ หลังเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้เขาบอกด้วยว่า จะต่อสู้กับภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ด้วยมาตรการตอบโต้ทางการค้า ที่สร้างผลกระทบมากที่สุดต่อสหรัฐฯ และเกิดผลกระทบน้อยที่สุดในแคนาดา และแคนาดาจะตอบโต้อย่างหนัก

คำสั่งใหม่ของทรัมป์จะเริ่มเก็บภาษีศุลกากร 25% กับรถยนต์ที่ผลิตในต่างชาติและนำเข้าสู่สหรัฐฯ ทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน โดยทรัมป์คาดหวังว่าจะดึงดูดให้นักลงทุนหันไปผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนในรถยนต์ในสหรัฐฯ เพื่อไม่ต้องแบกรับภาษีอัตราใหม่ แต่นักวิเคราะห์มองว่าไม่ง่ายขนาดนั้น  

ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์ บอกว่า การสร้างโรงงานอาจใช้เวลา 2-4 ปี ซึ่งทรัมป์อาจจะพ้นวาระไปแล้ว และแม้จะมีการผลิตรถยนต์ในโรงงานสหรัฐฯ แต่ก็ต้องเผชิญภาษีอัตราใหม่จากการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์จากแคนาดา เม็กซิโก และชาติอื่น ๆ และเป็นต้นทุนส่วนใหญ่ของการประกอบรถยนต์ในสหรัฐฯ ก็จะทำให้ราคารถยนต์แพงขึ้นหลายพันดอลลาร์ และการเปลี่ยนแหล่งซัพพลายเชนยากเกือบเท่ากับการสร้างโรงงานใหม่

บริษัทรถยนต์ของสหรัฐฯ จำนวนมาก มีฐานการผลิตในเม็กซิโกและแคนาดา โดยตั้งขึ้นภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีที่มีมายาวนานระหว่าง 3 ประเทศ และบริษัทเหล่านี้ กังวลว่า การขึ้นภาษีของทรัมป์จะส่งผลให้ธุรกิจของพวกเขาหยุดชะงัก