ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ แถลงที่กระทรวงต่างประเทศเป็นครั้งสุดท้ายในวันจันทร์ (13 มกราคม) ก่อนจะก้าวลงจากตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม โดยกล่าวยกย่องความสำเร็จด้านนโยบายต่างประเทศตลอด 4 ปีที่ผ่านมาว่า สามารถทำให้ศัตรูทั้งหลายของสหรัฐฯ อ่อนแอลงเมื่อเทียบกับ 4 ปีที่แล้ว ซึ่งจะช่วยให้รัฐบาลใหม่ของโดนัลด์ ทรัมป์ มีความแข็งแกร่งและความได้เปรียบในเวทีโลก
เขาบอกด้วยว่า เมื่อเทียบกับ 4 ปีที่แล้ว สหรัฐฯ แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พันธมิตรเข้มแข็งยิ่งขึ้น ในขณะที่ศัตรูและคู่แข่งอ่อนแอลง และอเมริกาเป็นผู้นำอีกครั้งในการผนึกกำลังประเทศต่าง ๆ กำหนดวาระ และโน้มน้าวให้ประเทศอื่น ๆ สนับสนุนแผนการและวิสัยทัศน์ของอเมริกา และทำให้สหรัฐฯ เป็นเขตเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก และอยู่ในสถานะที่ดีขึ้นในการชนะการแข่งขันใด ๆ ในอนาคต
ไบเดน ยังบอกให้ชาวอเมริกันมั่นใจด้วยว่า เขาทำให้สหรัฐฯ อยู่ในจุดที่เหนือกว่าสำหรับการแข่งขันระยะยาวกับจีน และยืนยันว่า ไม่มีทางที่เศรษฐกิจจีนจะแซงหน้าสหรัฐฯ ได้ แม้หลายคนคาดการณ์ไว้
เขายังกล่าวถึงความสำเร็จในการปิดฉากสงครามในอัฟกานิสถาน และถอนทหารทั้งหมดกลับประเทศ โดยไม่ก่อภัยคุกคามและอันตรายใด ๆ จากการก่อการร้ายอย่างที่หลายฝ่ายวิตก และบอกด้วยว่า กายุติสงครามทำให้สหรัฐฯ สามารถทุ่มเทพลังงานและทรัพยากรเพื่อจัดการกับความท้าทายเร่งด่วนอื่น ๆ โดยระบุด้วยว่า ศัตรูและคู่แข่ง อย่าง รัสเซียและจีนคงอยากเห็นสหรัฐฯ ติดหล่มอยู่ในอัฟกานิสถานต่อไปอีกสิบปี
แต่เขาก็ยอมรับว่ายังมีความท้าทายที่สหรัฐฯ ยังต้องจัดการต่อไป คือ สงครามในยูเครน และตะวันออกกลาง และความท้าทายจากเกาหลีเหนือที่กระชับความสัมพันธ์กับรัสเซียมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามเขาเผชิญเสียงวิจารณ์อย่างหนักจากการให้ความช่วยเหลือด้านอาวุธและการสนับสนุนทางการทูตแก่อิสราเอล ที่ทำสงครามกวาดล้างฮามาสในฉนวนกาซาตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2566 และจนถึงขณะนี้มีผู้เสียชีวิตในฉนวนกาซามากกว่า 46,000 ราย
และมีผู้ประท้วงจำนวนหนึ่งรวมตัวด้านนอกกระทรวงต่างประเทศตอนที่ไบเดนแถลง โดยตะโกนประณามเขาว่า “อาชญากรสงคราม” และชูป้ายประท้วง รวมถึงบางคนสาดของเหลวสีแดงเพื่อสื่อความหมายว่า ไบเดนเป็นผู้นำมือเปื้อนเลือด