อิสราเอลยังคงปฏิบัติการโจมตีทางอากาศมากกว่า 60 ครั้งในซีเรียในระยะเวลา 5 ชั่วโมงของค่ำวันเสาร์ (14 ธันวาคม) ตามเวลาท้องถิ่น ทำให้การโจมตีตลอดสัปดาห์เพิ่มเป็นเกือบ 800 ครั้ง หลังจากกองกำลังกบฏซีเรียสามารถโค่นล้มประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด พ้นตำแหน่งได้สำเร็จเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม การโจมตีส่วนใหญ่พุ่งเป้าทำลายเป้าหมายทางทหาร ซึ่งรวมถึง คลังอาวุธของกองทัพซีเรีย และท่าเรือ
อย่างไรก็ตามบาฮา เอล-ดิน ชาร์ม รักษาการรัฐมนตรีคมนาคมของซีเรีย บอกว่า รัฐบาลกำลังเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดน่านฟ้าให้สามารถสัญจรทางอากาศได้ตามปกติ
ขณะที่อาห์เหม็ด อัล-ชารา ผู้นำกบฏกลุ่มฮายัต ตาห์รีร์ อัล-ชาม หรือ เอชทีเอส ซึ่งเดิมใช้นามแฝงว่า อาบู โมฮัมเหม็ด อัล-โจลานี ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ของซีเรียเมื่อวันเสาร์ว่า อิสราเอลไม่มีข้ออ้างที่จะโจมตีซีเรียอีกแล้ว และการโจมตีดินแดนในซีเรีย และการยึดเขตกันชนในที่ราบสูงโกลันเมื่อเร็ว ๆ นี้เป็นการล้ำเส้น และยกระดับความรุนแรงในภูมิภาคอย่างไม่ชอบธรรม รวมทั้งเรียกร้องให้ประชาคมโลกแสดงความรับผิดชอบด้วยการหลีกเลี่ยงการยกระดับความรุนแรง และให้หลักประกันเคารพอธิปไตยของซีเรีย แม้เขาไม่ได้ระบุถึงอิสราเอลโดยตรง แต่บอกว่า วิถีทางการทูตเท่านั้นเป็นหนทางเดียวที่จะรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค
เขาบอกด้วยว่า ซีเรียเหนื่อยล้ากับสงครามกลางเมืองมานานหลายปี และเวลานี้ไม่ต้องการถูกลากเข้าสู่การสู้รบใด ๆ ที่จะสร้างความเสียหายแก่ประเทศมากยิ่งขึ้น โดยการฟื้นฟูประเทศและการสร้างเสถียรภาพเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกในเวลานี้
ขณะที่จอร์แดนเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเมื่อวันเสาร์ โดยมีนักการทูตจากสหรัฐฯ สหภาพยุโรป ตุรกี และชาติอาหารับเข้าร่วมหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ซีเรีย และออกแถลงการณ์ร่วมกันที่มีเนื้อหาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติความขัดแย้งและการสู้รบในซีเรีย และสนับสนุนกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองภายใต้การนำของชาวซีเรีย รวมทั้งเรียกร้องให้ป้องกันการฟื้นตัวของกลุ่มสุดโต่งในซีเรีย รักษาความมั่นคง และทำลายอาวุธเคมีในคลังแสงอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ย้ำสนับสนุนบูรภาพทางดินแดนและอธิปไตยของซีเรีย
ตุรกีเป็นชาติแรกที่กลับมาเปิดสถานทูตในกรุงดามัสกัสของซีเรียอีกครั้งเมื่อวันเสาร์ นับจากรัฐบาลของอัสซาดล่มสลาย หลังจากปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 2555 โดยอ้างความรุนแรงในช่วงสงครามกลางเมืองในซีเรียที่ยืดเยื้อยาวนาน 13 ปี