สื่อหลายสำนัก รายงานอ้างแหล่งข่าวในรัฐบาลสหรัฐฯว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน อนุญาตให้ยูคเรนใช้ระบบขีปนาวุธทางยุทธวิธีของกองทัพบก (Army Tactical Missile System missile -ATACMS) ซึ่งมีพิสัยการยิงได้ไกลราว 300 กิโลเมตร โจมตึลึกเข้าไปในแผ่นดินรัสเซีย ถือเป็นการปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งสำคัญ ในขณะที่สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนดำเนินมาใกล้ครบ 1,000 วัน และไบเดนกำลังจะพ้นตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม
แหล่งข่าวบอกด้วยว่า ยูเครนเตรียมโจมตีรัสเซียด้วยขีปนาวุธที่เพิ่งได้ไฟเขียวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หลังจากหลายเดือนที่ผ่านมาประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน พยามยามร้องขอการรับรองจากสหรัฐฯ ให้สามารถใช้อาวุธพิสัยไกล "ที่ผลิตโดยสหรัฐฯ" โจมตีรัสเซีย แต่ไบเดนปฏิเสธมาโดยตลอด
ส่วนการตัดสินใจล่าสุดเกิดขึ้นหลังอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน และเคยประกาศไว้ว่า จะทำให้สงครามสิ้นสุดโดยทันที ทำให้เกิดความไม่แน่นอนว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ในยุคทรัมป์ยังจะให้การสนับสนุนทางการทหารต่อยูเครนต่อไปหรือไม่ ขณะเดียวกันการตัดสินใจครั้งนี้ยังอาจเป็นการตอบโต้ที่รัสเซียประจำการทหารราบจากเกาหลีเหนือเพื่อสนับสนุนกองทัพในการสู้รบกับยูเครน ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่สร้างความกังวลต่อสหรัฐฯ และยูเครน
ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซีย กล่าวเตือนว่า การตัดสินใจของสหรัฐฯ อาจนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 และอาจยกระดับสงครามที่นำไปสู่จุดจบของยูเครนที่ย่อยยับอย่างสิ้นเชิงชั่วข้ามคืน
แม้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ บางคนแสดงความสงสัยว่า การอนุญาตให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลจะช่วยเปลี่ยนสถานการณ์ของสงครามโดยรวมหรือไม่ แต่อาจช่วยยูเครนในช่วงที่กองกำลังรัสเซียกำลังรุกคืบ และทำให้ยูเครนมีสถานะในการเจรจาต่อรองที่ดีขึ้น เมื่อมีการเจรจาหรือหากเกิดการเจรจาหยุดยิง
ขณะที่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าทรัมป์จะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของไบเดน เมื่อเขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีหรือไม่ หลังจากเขาวิจารณ์เรื่องที่รัฐบาลใช้งบประมาณมหาศาลในการสนับสนุนทางการเงินและการทหารแก่ยูเครน หนึ่งในที่ปรึกษาของทรัมป์ โพสต์วิจารณ์ไบเดนที่ยกระดับสงครามก่อนพ้นตำแหน่ง
เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลไบเดน บอกภายหลังทรัมป์ชนะเลือกตั้งว่า รัฐบาลจะใช้เวลาที่หลืออยู่เพื่อให้มั่นใจว่ายูเครนจะสู้รบอย่างมีประสิทธิภาพในปีหน้าหรือเจรจาสันติภาพกับรัสเซียด้วยสถานะที่แข็งแกร่ง