อันโตนิอู กูแตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวในการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก หรือ COP29 ที่กรุงบากู ของอาเซอร์ไบจานในวันอังคาร (12 พฤศจิกายน) โดยบอกว่า ใกล้หมดเวลาที่จะสามารถควบคุมอุณหภูมิของโลกไม่ให้สูงขึ้นในระดับก่อหายนะ และเรียกร้องให้ทั่วโลกร่วมลงขันสนับสนุนกองทุนที่จะนำเงินไปช่วยเหลือชาติยากจนให้เตรียมรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และชดเชยความเสียหายจากสภาพอากาศสุดขั้ว
เขาบอกว่า “โลกควรต้องจ่าย มิฉะนั้นมนุษยชาติจะต้องชดใช้” และบอกด้วยว่า การระดมเงินครั้งนี้ไม่ใช่การกุศล แต่เป็นการลงทุน และการแก้ไขปัญหาเรื่องสภาพภูมิอากาศไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้
การประชุม COP29 ครั้งนี้กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-22 พฤศจิกายน มีผู้แทนจากเกือบ 200 ประเทศเข้าร่วม เพื่อหารือในวาระหลักเรื่องการระดมเงินทุนนำไปสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในทั่วโลก และลดความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่เกิดจากการปล่อยคาร์บอน
เป้าหมายของที่ประชุมคาดหวังว่าจะสามารถเพิ่มระดับกองทุนเป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี แทนเป้าหมายเดิมที่ 1 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี
แต่ในปีนี้ผู้นำโลกหลายคนไม่ได้เข้าร่วมการประชุมด้วย โดยหลังโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จึงไม่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ส่วนประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ส่งรองประธานาธิบดีเข้าประชุมแทน และอัวร์ซูลา ฟอร์ แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปไม่สามารถเข้าประชุมได้
ขณะที่จอห์น โพเดสตา ทูตพิเศษของสหรัฐฯ ที่ได้รับแต่งตั้งจากไบเดน บอกในที่ประชุมเมื่อวันจันทร์ว่า สหรัฐฯ จะยังเดินหน้าต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการจำกัดการปล่อยคาร์บอน แม้ว่าทรัมป์ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และคาดว่าจะยกเลิกมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในสมัยของไบเดน และอาจจะถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีสอีกครั้ง แต่เขาเชื่อว่า ด้วยนโยบายของไบเดน และการสนับสนุนจากรัฐและเมืองต่าง ๆ การปล่อยคาร์บอนในสหรัฐฯ จะยังคงลดลงแม้อาจช้ากว่าเดิม
ข้อตกลงปารีสฉบับปี 2558 เป็นการให้คำมั่นของประเทศต่าง ๆ ที่จะร่วมกันควบคุมอุณหภูมิของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียสจากระดับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ขณะที่องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก เผยแพร่รายงานในวันแรกของการประชุมว่า ปี 2567 มีแนวโน้มจะกลายเป็นปีที่ร้อนที่สุดของโลก เนื่องจากมหาสมุทรมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และธารน้ำแข็งละลายรวดเร็วเช่นกัน