20 มีนาคม 2568 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ แถลงผลปฏิบัติการจับกุม หัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวญี่ปุ่น พร้อมช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการนี้ โดยมี นายนาโอโตะ วาตานาเบะ เลขานุการเอกและผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ , และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว
การจับกุมครั้งนี้ เป็นผลจากการประสานข้อมูล ของสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ซึ่งร้องขอให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของไทย หรือ สตม. ดำเนินการจับกุมและเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของ นายยามากูชิ ผู้ต้องหาตามหมายจับของประเทศญี่ปุ่น ในข้อหาทำร้ายร่างกาย ฉ้อโกง ลักทรัพย์ และละเมิดกฎหมายควบคุมองค์กรอาชญากรรมญี่ปุ่น โดย สตม.ตรวจสอบพบว่า นายยามากูชิ พักอาศัยอยู่ในย่านสาธร กทม. จึงทำการจับกุมตัวเพื่อนำส่งกลับประเทศญี่ปุ่น
สอบสวนพบว่า นายยามากูชิ เป็นอดีตสมาชิกแก๊งยากูซ่า และเป็นหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชาและเวียดนาม โดยมีพฤติกรรมหลอกลวงชาวญี่ปุ่น และมักเดินทางเข้าออกประเทศไทยบ่อยครั้ง ทั้งยังเช่าที่พักราคาสูงถึง 180,000 บาทต่อเดือน
นอกจากนี้ ตำรวจยังพบว่า นายยามากูชิ ได้จัดตั้งบริษัท "ลาสซามูไร เจแปน" ซึ่งดำเนินธุรกิจซื้อขายงานศิลปะราคาสูง คาดว่าอาจใช้เป็นช่องทางฟอกเงินไปทั่วโลก เนื่องจากฐานข้อมูลของเว็บไซต์เป็นภาษาอังกฤษ
จากการตรวจค้นที่พักของ นายยามากูชิ พบชาวญี่ปุ่นอีก 4 ราย ซึ่งเคยต้องโทษในประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังพบทรัพย์สินดิจิทัลมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม
พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวต่อว่า นายยามากูชิ นับเป็นผู้ต้องหา ที่ทางการญี่ปุ่นต้องการตัวมากที่สุด เนื่องจากเป็นหัวหน้าแก๊งยากูซ่าระดับบนของประเทศญี่ปุ่น ที่คอยประสานการทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีความเชื่อมโยงกับฝั่งประเทศเมียนมา กัมพูชา และเวียดนาม โดยประเทศไทยมีกำหนดการส่งตัวประมาณต้นเดือนเมษายน
พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ ตำรวจไทยได้รับการประสานจากทางการญี่ปุ่น ให้ติดตามจับกุม นายมิยาชิตะ มาชิโระ ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีลักทรัพย์ ซึ่งจากมาตรการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้ชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ดังกล่าว จับกุมตัวนายมิยาชิตะ และส่งกลับมายังประเทศไทย
นายมิยาชิตะ ยอมรับว่า ได้ทำงานเป็นฝ่ายการเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตั้งแต่เดือน ม.ค.68 ตำรวจจึงได้ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ก่อนส่งตัวกลับไปดำเนินคดีในญี่ปุ่นต่อไป
รวมถึงตำรวจไทย ยังให้ความช่วยเหลือชาวญี่ปุ่น 2 ราย ซึ่งตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่การตรวจสอบพบว่า หนึ่งในนั้นเคยต้องโทษคดีลักทรัพย์ในญี่ปุ่น ทั้งสองเดินทางผ่านเส้นทางธรรมชาติ เข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน และมีความเชื่อมโยงกับคดีเยาวชนชาวญี่ปุ่นอายุ 16 ปี ที่ตำรวจไทยเคยช่วยเหลือก่อนหน้านี้
ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า สถานที่ทำงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว มีชาวญี่ปุ่นทำงานอยู่ประมาณ 10 คน ตำรวจไทยได้ประสานงานกับทางการญี่ปุ่น เพื่อส่งตัวผู้เสียหายทั้งสองกลับประเทศ และดำเนินการสืบสวนต่อไป
สำหรับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่มีเยาวชนญี่ปุ่นถูกหลอกไปทำงาน เจ้าหน้าที่มีข้อมูลว่า หัวหน้าแก๊งที่เป็นชาวญี่ปุ่น มีเชื้อสายจีน เป็นไปได้ว่า มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศจีน ข้อได้เปรียบของหัวหน้าแก๊งรายนี้คือ การประสานงานทำงานกับคนจีน โดยฝ่ายจีนมีหน้าที่เตรียมสคริปต์ ข้อมูลการหลอกลวงบุคคล ทางญี่ปุ่นเชี่ยวชาญด้านเทคนิคคอมพิวเตอร์ หัวหน้าแก๊งทั้งสองจะมุ่งหลอกลวงไปที่คนประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก เฉพาะกลุ่มนี้พบตัวเลขผู้เสียหายชาวญี่ปุ่น รวมเป็นเงินจำนวนกว่า 50,000,000 เยน
พล.ต.อ.ธัชชัย เน้นย้ำว่า ตร.จะร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ เพื่อปกป้องพลเมืองของทั้งสองประเทศจากอาชญากรรมประเภทนี้
เมื่อถามว่า จำนวนของผู้ต้องหาและผู้เสียหาย ที่ทางการญี่ปุ่นประสานให้ไทยช่วยจัดการมีจำนวนเท่าไร พล.ต.อ.ธัชชัย ระบุว่าในส่วนของผู้ต้องหาที่ทางการญี่ปุ่นต้องการตัว ทางการไทยได้จับกุมควบคุมมาครบแล้ว ในส่วนของเหยื่ออยู่ในระหว่างประสานงาน คาดว่าตัวเลขไม่เกินที่ 20 คน
พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ