19 มีนาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานภายหลังรัฐบาลใช้มาตรการเด็ดขาดเพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตัดไฟฟ้า – ตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต ตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา
โดยมาตรการดังกล่าวผ่านมา 1 เดือน จากสถิติของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พบว่า การแจ้งความคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ
เปรียบเทียบสถิติการแจ้งความแก๊งคอลเซ็นเตอร์ วันที่ 6 มกราคม 2568 – วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ก่อนจะมีมาตการตัดไฟ-ตัดเน็ต มาเปรียบเทียบ กับสถิติหลังหลังมีมาตรการตัดไฟ-ตัดเน็ต ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 – วันที่ 7 มีนาคม 2568 ดังนี้
สรุปภาพรวม 1 เดือน หลังรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ใช้มาตรการตัดไฟ-ตัดเน็ต ทำให้ตัวเลขคดีเกี่ยวกับแก๊งคอลเซนเตอร์ลดลงเกือบๆ 30,000 คดี อยู่ที่ 29,798 คดี หรือคิดลดลงเป็นร้อยละ 29.79 ตัวเลขผู้เสียหายลดลงไปเยอะมาก
ทั้งนี้ มีรายงานจากแหล่งข่าวระดับสูงในทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า สถิติการหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลดลงจริง ตามตัวเลขที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงดีอีเอสสรุปมา
แต่ยอมรับว่า “มาตรการ 3 ตัด” คือ ตัดไฟ ตัดเน็ต และตัดน้ำมัน เมื่อไปตรวจสอบจริงในพื้นที่ กำลังเจอปัญหาย้อนกลับ โดยเฉพาะสัญญาณอินเตอร์เน็ต
ที่ผ่านมา ตำรวจได้ส่งทีมลงพื้นที่ตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อไปทดสอบสัญญาณ ปรากฏว่าสัญญาณอินเตอร์เน็ตยังเต็มเกือบ 100% สรุปได้ว่ามาตรการตัดสัญญาณ ทำได้เพียงผิวๆ เหมือนนำเข็มไปเจาะท่อ ส่งผลกระทบกับกลุ่มมิจฉาชีพแค่น้ำไม่ไหลไปปลายทางอย่างเต็มเม็ดเต็มหหน่วยเท่านั้น น้ำมันส่วนใหญ่ยังใช้ได้อยู่ เปรียบกับสัญญาณอินเตอร์เน็ต วันนี้ก็ยังมีใช้
แต่สาเหตุที่การหลอกลวงลดลง เนื่องจากคนในเครือข่ายถูกกวาดล้างและส่งกลับประเทศต้นทางจำนวนมาก ช่วงนี้จึงไม่มีมือทำงาน
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ล่าสุด น.ส.แพทองธาร ทราบปัญหานี้แล้ว และได้เรียกประธาน กสทช.เข้าพบเพื่อหารือด่วนในวันที่ 21 มีนาคม 2568 เพื่อวางมาตรการแก้ไขเรื่องนี้ในระยะยาว
มีรายงานด้วย ว่า จากการลงพื้นที่เมืองเมียวดี เมียนมา พบว่าสถานีบริการน้ำมันต่างๆ เริ่มทยอยเปิดให้บริการ และราคาน้ำมันถูกลงมากกว่าครึ่ง จากช่วงที่ถูกตัดน้ำมันจากไทยใหม่ๆ เนื่องจากทางเมืองเมียวดี สามารถสั่งน้ำมันจากพื้นที่อื่นมาใช้ได้แล้ว
ด้านแหล่งข่าวจาก กสทช. ให้ข้อมูลเสริม ว่า การตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต หากต้องการทำอย่างจริงจัง ต้องเป็นนโยบายของรัฐบาลเท่านั้น เพราะจะมีปัญหาตามมา เนื่องจากมีเอกชนเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องนี้กระทบกับผลประโยชน์และฐานลูกค้าของเอกชน ส่วนการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตข้ามประเทศ ก็เชื่อมต่อกันเป็น อินเตอร์เน็ตเกตเวย์ ถ้าไทยตัดทั้งหมดประเทศเดียว อาจทำให้เราสื่อสารกับประเทศอื่นไม่ได้
อีกเรื่องหนึ่งที่มีการจับมือแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับ กสทช. คือ การดำเนินคดีกับคนในขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และหลอกลวงออนไลน์ ที่ถูกส่งกลับมา ช่วงแรกๆ ทางการไทยปล่อยตัวทั้งหมด เพราะทุกคนอ้างว่าเป็นเหยื่อ ทั้งที่จริงๆ แล้ว ข้อมูลของตำรวจชี้ชัดว่า มีน้อยมากที่เป็นเหยื่อจริงๆ เพราะเป็นผู้ที่สมัครใจข้ามไปทำงาน และรู้อยู่แล้วว่าไปทำคอลเซ็นเตอร์
ปัญหาเบื้องต้นที่ต้องเฝ้าระวังคือ ติดตามคนเหล่านี้ เมื่อกลับมาไทย หรือประเทศต้นทางแล้ว ต้องไม่นำองค์ความรู้ที่ได้จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไปตั้งแก๊งเองที่บ้านเกิด
อีกหนึ่งแนวทางที่เพิ่งดำเนินการสำเร็จ คือ พยายามชะลอการส่งตัวกลับ ภูมิลำเนา เพื่อให้ตำรวจมีเวลารวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดี โดยเป็นการประสานกันระหว่างสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของไทย กับประเทศเพื่อนบ้าน ปรากฏว่าล็อตล่าสุด 100 กว่าคน สามารถแจ้งข้อหา องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ , อั้งยี่ ซ่องโจร และฟอกเงิน
โดยแจ้งข้อหาได้เกิน 80% โดยตำรวจต้องหาหลักฐานเชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายที่ถูกส่งกลับมา กับผู้เสียหายในประเทศไทย โดยต้องดูไอพีแอดเดรส ซึ่งมีความยากพอสมควร แต่ก็เชื่อว่าความผิดฐานเป็นองค์กรอาชญากรรม และฟอกเงิน อาจมีหลักฐานมากพอให้ศาลลงโทษได้
แหล่งข่าวจาก กสทช. บอกด้วยว่า เรื่องนี้เป็นความสัมพันธ์ของ ตม.ระหว่างประเทศเป็นหลัก เช่น ไทยกับกัมพูชา ไทยกับเมียนมา โดยเฉพาะกัมพูชาที่ค่อนข้างมีความสัมพันธ์ที่ดี และมีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด