จากกรณีคนร้ายลักษณะคล้ายชาวจีน ลวงปล้นเงินซิ้อคริปโต 2 เหตุการณ์ในวันเดียวกัน โดย เหตุแรก มีผู้เสียหายชาวจีน 1 คน ถูกชาย 3 คน ปล้นเงินสด 5 ล้านบาท ระหว่างผู้เสียหายนัดแลกเงินเปลี่ยนเป็นเหรียญคริปโต โดยนำเงินสด 5 ล้านบาท ใส่กระเป๋าสีดำมาให้ผู้ก่อเหตุที่บ้านหลังหนึ่ง ภายในซอยประชาราษฎร์บำเพ็ญ 12 เขตห้วยขวาง โดยวางกระเป๋าเงินลงบนโต๊ะ จากนั้นกลุ่มผู้ก่อเหตุนำกระเป๋าเงินดังกล่าวไป แล้วหลบหนีขึ้นรถตู้อัลพาร์ดสีขาว มุ่งหน้าอโศก ซึ่งผู้เสียหายได้นั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างติดตามไปแต่ไม่ทัน
เหตุที่ 2 เกิดขึ้นที่อาคารจีทาวเวอร์ ย่านพระราม 9 ผู้เสียหาย 2 คนนำเงินสด 8 ล้านบาท มาแลกเหรียญคริปโต กับชาวจีน 4 คน ระหว่างเจรจา ผู้ก่อเหตุได้โอนเหรียญคริปโตไปยังบัญชีหนึ่ง ที่มีเจ้าของบัญชีเป็นคนจีนและทำหน้าที่เป็นคนกลางนัดให้ทั้งสองฝ่ายมาเจอกันซึ่งพบว่าคนกลางเป็นชาวจีน ผู้เสียหายก็คนจีน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 9 ม.ค.ที่ผ่านมา
9 มกราคม 2568 ภายหลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.ห้วยขวาง ได้นำกำลังปิดล้อมตรวจค้น ตึกแถวเลขที่ 193/1 ซอยไตรธาดา แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาทร กทม. ที่เป็นจุดที่คนขับรถมาส่งผู้ก่อเหตุ ก่อนนำรถจอดอยู่ที่สวนสุขภาพแต้จิ๋ว ซึ่งจุดดังกล่าวอยู่ไม่ไกลจากอาคารที่เกิดเหตุ
เมื่อเจ้าหน้าที่ไล่กล้องวงจรปิดบริเวณดังกล่าว พบชายใส่เสื้อสีขาว 2 คน ลงจากรถยนต์ โตโยต้า อัลพาร์ด สีขาว คันที่ใช้ก่อเหตุ และได้เดินเข้าไปในบ้านหลังดังกล่าว ซึ่งเป็นบ้านของเจ้าของรถยนต์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ห้วยขวาง จึงพร้อมด้วย กก.สส.บก.น.1, บก.สส.บช.น. ร่วมกันปิดล้อมสถานที่ดังกล่าว เบื้องต้นพบกระเป๋าภายในมีเงินสด 5 ล้านบาท โดยผู้เสียหายยืนยันว่าเงินดังกล่าวเป็นของตน จากนี้เจ้าหน้าที่จะได้สอบปากคำผู้เสียหายโดยละเอียด และดำเนินการออกหมายจับผู้ต้องหาต่อไป
ส่วนกรณีปล้นเงิน 8 ล้านบาท เหตุเกิดที่อาคารจีทาวเวอร์ ฝ่ายสืบสวนตามจับผู้ก่อเหตุได้ 2 คนแล้ว พร้อมทั้งเงินยังอยู่ครบ 8 ล้านบาท อยู่ระหว่างนำตัวมาพบผู้เสียหาย และสอบปากคำที่ สน.ห้วยขวาง
จากนั้นเวลา 21.15 น. รถสไลด์ได้นำรถอัลพาร์ดคันที่ก่อเหตุ ป้ายทะเบียน 2 ขล 2233 กทม. เดินทางมาถึง สน. ห้วยขวางขาว ที่กลุ่มผู้ก่อเหตุนำไปจอดทิ้งไว้ในพื้นที่ยานนาวา จากการสังเกตพบว่าบริเวณด้านข้างกระจกฝั่ง ผู้โดยสารมีร่องรอยนิ้วมือติดอยู่บริเวณด้านนอกกระจก แต่เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน รวจสอบได้เพียงภายนอกของตัวรถเท่านั้น เนื่องจากไม่มีกุญแจรถจึงเปิดเข้าไปดูด้านในไม่ได้ ต้องรอให้ช่างกุญแจมาทำการเปิดรถก่อนจึงจะสามารถเข้ามาตรวจสอบภายในรถอีกครั้งหนึ่ง
ต่อมาเมื่อเวลา 23.50 น. ที่ สน.ห้วยขวาง พ.ต.อ ประสพโชค เอี่ยมพินิจ ผกก.สน.ห้วยขวาง ให้สัมภาษณ์ กรณีผู้เสียหายชาวจีน โดนขโมยเงิน 5 ล้าน โดยผู้เสียหายได้มีการมาที่จุดเกิดเหตุ เพราะมีความประสงค์ที่จะนัดหมายทำการแลกเปลี่ยนเหรียญคริปโตกับฝั่งของกลุ่มคนขับรถอัลพาท ซึ่งทั้งสองฝั่งมีคนกลางในการมานัดแลกเปลี่ยนกันครั้งนี้คือ นายเฉิน ซึ่งได้ทำการนัดทั้ง 2 ฝั่งมาพบกัน
ส่วนนายเฉิน คนกลาง ไม่ได้อยู่ในจุดเกิดเหตุด้วย ซึ่งทางผู้เสียหายได้ให้ข้อมูลว่า เคยทำธุรกรรมทำนองนี้โดยมีนายเฉินเป็นตัวกลางมา 3-4 ครั้งแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหาใดๆเลย
ตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่เชื่อว่านายเฉิน น่าจะเป็นผู้ก่อเหตุหลัก เพราะเขาเป็นตัวกลางที่ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายมาเจอกัน และพอฝั่งหนึ่งโอนเงินคริปโตให้ผู้เสียหายโดยผ่านนายเฉิน แต่นายเฉินไม่ยอมโอนต่อ
ส่วนกรณีเงิน 8 ล้านนั้น เป็นเหตุการณ์ลักษณะคล้ายกัน คือเป็นคนกลางเป็นผู้นัดให้ฝั่งที่มีเงินและต้องหารแลกเป็นเงินดิจิตัล และฝั้งที่มีเงินดิจิตัล มาพบเพื่อแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งพบว่าคนกลางนั้น คือ “นายเฉิน”
โดยกรณีที่ 2 ฝั่งคนถือเงิน 8 ล้านบาท ตรวจสอบไม่พบว่าเงินดิจิตอลไม่ถูกโอนเข้าบันชีตนเอง จึงดึงเงินกลับ แต่ฝั่งตรงข้ามบอกว่าโอนเงินคลิปโตไปแล้วจริง
โดย ซึ่งพฤติการของนายเฉิน เป็นแบบเดียวกันทั้ง 2 คดี คือเป็นตัวกลาง ดีลฝั่งคนแลก และคนรับมาเจอกัน แต่พอฝ่ายใดโอนคริปโตให้นายเฉิน เขาก็จะไม่โอนต่อ
ส่วนประเด็นที่ผู้เสียหายเคส 5 ล้านนั้น ถูกทำร้ายหรือพันธนาการนั้นตนยังไม่ได้รับข้อมูล เพราะผู้เสียหายแจ้งว่า เขาไม่ได้ถูกมัดหรือถูกทำร้าย แต่เขาได้กระโดดลงมาจากชั้น 2 ของบ้านเพื่อตามเงิน จึงทำให้มีแผลบ้าง ส่วนที่โดนเข็มขัดรัดที่ข้อมือนั้น ตนยังไม่ทราบข้อมูล จะต้องขอตรวจสอบก่อน
ด้าน พล.ต.ต. อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ระบุว่า วันนี้ยังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนทั้งสองกรณี ทั้งเงิน 5 ล้านบาท และเงิน 8 ล้านบาท พร้อมบอกว่าความยากในการทำคดีนี้ คือเรื่องของการสื่อสาร เพราะผู้เสียหายทั้ง 2 เคส เป็นชาวจีนถึงจะมีล่ามในการแปลภาษา แต่ในบางประเด็นผู้เสียหายเบี่ยงเบนในการตอบคำถาม
เช่นกรณีผู้เสียหายที่อ้างว่าถูกหลอกให้โอนเงินคริปโต และผู้ต้องหาไม่ยอมให้เงินสด 8 ล้านบาท ทางเจ้าที่ตำรวจได้มีการขอตรวจเส้นเงินในบัญชีเหรียญคริปโต (Wallet) ของผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายก็ไม่ยินยอม และบอกว่าจำรหัส 22 ตัวไม่ได้
ส่วนกรณีที่มีการกระแสข่าวออกมาว่าผู้เสียหายเงิน 5 ล้านบาท นั้นมีการผูกมัด และถูกข่มขู่ ประเด็นนี้ ทางผู้เสียหายไม่ได้ให้การกับตำรวจเช่นนี้ และยืนยันกับตำรวจว่าไม่ได้เกิดการกักขัง หรือมัดมือผู้เสียหาย ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นเพียงแค่การนัดมาเจอกันเพื่อทำธุรกิจร่วมกัน
โดยที่ทั้งสองฝ่ายเจอกันเป็นครั้งแรก แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ตำรวจก็จะมีการสืบสวนสอบสวนด้วยเช่นกัน ส่วนกลุ่มผู้ก่อเหตุอีก 3 คนอยู่ระหว่างการติดตามตัวแต่เบื้องต้นทราบข้อมูลบางส่วนแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้