8 มกราคม 2568 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค ผู้ตรวจการอัยการ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด นายชาญชัย ชลานนท์นิวัฒน์ อัยการอาวุโสสำนักงานคดีอาญา ในฐานะที่ปรึกษาโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้าคดี “ดิไอคอน กรุ๊ป” ซึ่งครบกำหนดฝากขัง 7 ผัด 84 วันในวันนี้
นายศักดิ์เกษม เปิดเผยว่า หลังจากที่ อสส.ได้รับสำนวนจากพนักงานสอบสวนดีเอสไอ เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.67 คดีระหว่าง นายณัฏฐ์ ธนาพิพัฒน์ดลภัค กับพวก ผู้กล่าวหาบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด โดยนาย วรัตน์พล วรัทย์รกุล หรือ บอสพอล ผู้ต้องหาที่ 1 กับพวกรวม 19 คน ในข้อหา
1.ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน
2.ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน
3.ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
4.ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรง ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงดำเนินกิจการใน ลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจโดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าวซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
5. ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต
เหตุเกิดระหว่างวันที่ 12 ส.ค.63 ถึงวันที่ 31 ส.ค.67 ใน ท้องที่แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ และหลายท้องที่ทั่วราชอาณาจักรต่อเนื่องกัน คิดเป็นค่าเสียหายรวมประมาณ 649,912,290 บาท เนื่องจากคดีนี้มีผู้เสียหายจำนวนมาก และเป็นคดีที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจ ถือเป็นคดีสำคัญตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด จึงได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานร่วมกันพิจารณา
บัดนี้สำนักงานคดีพิเศษ ได้พิจารณาสำนวนดังกล่าวแล้ว มีความเห็นและคำสั่ง ดังนี้
ประกอบด้วย
1.บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด โดยนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล กรรมการผู้มีอำนาจ ผู้ต้องหาที่ 1
2.นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ผู้ต้องหาที่ 2
3.นายจิระวัฒน์ แสงภักดี หรือบอสแล็ป ผู้ต้องหาที่ 3
4.นายกลด เศรษฐนันท์ หรือบอสปีเตอร์ ผู้ต้องหาที่ 4
5.น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร หรือบอสปัน ผู้ต้องหาที่ 5
6.นายฐานานนท์ หิรัญไชยวรรณ หรือบอสหมอเอก ผู้ต้องหาที่ 6
7.น.ส.นัฐปสรณ์ ฉัตรธนสรณ์ หรือบอสสวย ผู้ต้องหาที่ 7
8.น.ส.ญาสิกัญจณ์ เอกชิสนุพงศ์ หรือบอสโซดา ผู้ต้องหาที่ 8
9.นายนันทธรัฐ เชาวนปรีชา หรือบอสโอม ผู้ต้องหาที่ 9
10.นายธวิณทรภัส ภูพัฒนรินทร์ หรือบอสวิน ผู้ต้องหาที่ 10
11.น.ส.กนกธร ปูรณะสุคนธ์ หรือบอสแม่หญิง ผู้ต้องหาที่ 11
12.น.ส.เสาวภา วงษ์สาขา หรือบอสอูมมี ผู้ต้องหาที่ 12
13.นายเชษฐ์ณภัฏ อภิพัฒนกานต์ หรือบอสทอมมี่ ผู้ต้องหาที่ 13
14.นายหัสยานนท์ เอกชิสนุพงศ์ หรือบอสป๊อบ ผู้ต้องหาที่ 14
15.นางวิไลลักษณ์ ยาวิชัย หรือบอสจอย ผู้ต้องหาที่ 15
16.นายธนะโรจน์ ธิติจริยาวัชร์ หรือบอสออฟ ผู้ต้องหาที่ 16
17.นายกันต์ กันตถาวร หรือบอสกันต์ ผู้ต้องหาที่ 19
ตามข้อหา
1.ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน
2.ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน
3.ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
4.ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรง ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงดำเนินกิจการใน ลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจโดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าวซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
5. ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต
ผู้ต้องหาที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ มีคำสั่งฟ้องตามความเห็นของพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ จะได้ดำเนินการยื่นฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 17 ต่อศาลอาญาในวันนี้
ส่วนผู้ต้องหาที่ 17 และ 18 ซึ่งพนักงานอัยการสำนักคดีพิเศษ มีคำสั่งไม่ฟ้องนั้น พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ จะได้ดำเนินการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวผู้ต้องหาต่อศาลอาญา และจะดำเนินการส่งสำนวนพร้อมความเห็นและคำสั่งไม่ฟ้องไปยังอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อพิจารณาว่า จะมีความเห็นแย้งในคำสั่งไม่ฟ้องหรือไม่ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ต่อไป
โดยภายหลังยื่นฟ้องศาลประทับรับฟ้องเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ รับเป็นคดี อทย 14/2568 พร้อมนัดสอบคำให้การในวันที่ 9 ม.ค.2568 เวลา 09.00 น.
บอสแซม-มีน หลุดคดี พยานหลักฐานยังสาวไม่ถึง
เมื่อถามว่า สาเหตุที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง นายยุรนันท์ และนางสาวพีชญา ให้เหตุผลอะไร นายศักดิ์เกษม กล่าวว่า เหตุผลที่อัยการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองนั้น ในขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะยังมีส่วนของผู้ต้องหาที่ถูกสั่งฟ้อง และคำสั่งไม่ฟ้องยังไม่เด็ดขาด จะต้องเสนอต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อพิจารณาว่าจะเห็นชอบหรือเห็นแย้ง จึงไม่สามารถกล่าวถึงรายละเอียดทั้งหมดได้ กล่าวได้เพียงว่าผู้ต้องหาทั้งสอง มีพยานหลักฐานไม่พอรับฟังได้ว่า ทั้งคู่ร่วมกระทำความผิดในข้อหาดังกล่าวกับผู้ต้องหาอื่น
เมื่อถามว่า ช่วงเวลาที่พิจารณาคดีทั้งหมดสามารถพิจารณาสำนวนคดีที่ดีเอสไอส่งมาทั้งหมดได้หรือไม่ เนื่องจากจำนวนของสำนวนคดีค่อนข้างมาก นายศักดิ์เกษม กล่าวว่า คณะทำงานทุกคนในช่วงปีใหม่ไม่มีใครได้หยุดเลย สำนวนคดีนี้มีเอกสารมากกว่า 3 แสนหน้า มีการสอบพยานหลักฐานหลายพันคน ทำให้คณะทำงานต้องทำงานอย่างละเอียด และยังมีผู้ร้องขอความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ที่คณะทำงานจะต้องพิจารณาในส่วนนี้อีก และผู้ต้องหาทุกคนจะครบฝากขังในวันนี้ ทำให้คณะทำงานต้องเร่งทำให้เสร็จ ก่อนครบกำหนดฝากขัง
เมื่อถามว่า ในทางปฏิบัติเมื่อมีคำสั่งไม่ฟ้องนายยุรนันท์และนางสาวพีชญา ในวันนี้จะต้องมีการปล่อยตัวหรือไม่ เพราะครบกำหนดฝากขังครั้งสุดท้ายในวันนี้ นายศักดิ์เกษม กล่าวอีกว่า ในทางปฏิบัติเมื่ออัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ต้องยื่นคำร้องต่อศาลให้ปล่อยผู้ต้องหาที่สั่งไม่ฟ้อง หลังจากนั้นจะต้องมีการปล่อยตัวไม่ว่าจะครบกำหนดฝากขังหรือไม่ ส่วนประเด็นการสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาดหรือไม่ ต้องรอเสนออธิบดีดีเอสไออีกครั้ง
เมื่อถามว่า เมื่ออัยการคดีพิเศษสั่งไม่ฟ้อง 2 ผู้ต้องหาขั้นตอนจะต้องให้อธิบดีดีเอสไอทำความเห็นแย้งใช่หรือไม่
นายชาญชัย กล่าวว่า คดีนี้อัยการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา 2 ราย ซึ่งทันทีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง จะต้องส่งสำนวนคดีไปให้อธิบดีดีเอสไอพิจารณาว่า มีความเห็นแย้งคำสั่งของอัยการหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ระยะเวลาไม่นาน ส่วนเหตุผลที่อัยการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา 2 รายดังกล่าวนั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะยังอยู่ในอำนาจการพิจารณาของอธิบดีดีเอสไอ
นายชาญชัย กล่าวต่อว่า ถ้าหากอธิบดีดีเอสไอมีความเห็นพ้องกับความเห็นของอัยการคดีพิเศษที่สั่งไม่ฟ้อง กระบวนการสั่งไม่ฟ้องก็จะสิ้นสุด อย่างไรก็ตามการสั่งไม่ฟ้องนั้น ความหมายก็คือ ในชั้นนี้ทั้งดีเอสไอและอัยการ ยังไม่มีพยานหลักฐานรับฟังได้ว่า ผู้ต้องหาที่อัยการสั่งไม่ฟ้องนั้น มีพยานหลักฐานที่จะสามารถพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหาได้ แต่ถ้าในอนาคตมีพยานหลักฐานเพิ่มเติม ก็สามารถเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่จะนำมาพิจารณาต่อไปได้
"ในชั้นนี้ พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ต่อศาลว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 รายกระทำความผิดตามข้อกล่าวหาเท่านั้น แต่ถ้าอธิบดีดีเอสไอโต้แย้งมาให้สั่งฟ้อง ก็เป็นดุลยพินิจของท่าน และขั้นตอนหลังจากนั้นก็จะต้องให้อัยการสูงสุดพิจารณาชี้ขาด"