6 มกราคม 2568 ที่สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ กทม. นายสุรชาติ ม่วงสวย อายุ 65 ปี พร้อมชาวบ้านประมาณ 20 คน จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ถูกเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นโจทก์ ฟ้อง นายสุรชาติ ม่วงสวย กับพวกรวม 28 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐาน ร่วมกันหมิ่นประมาท, ร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา, ร่วมกันทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึง, ร่วมกันก่อความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะและบุกรุกโดยร่วมกระทำความผิดกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 28 ต.ค.67 โดยศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง วันที่ 20 ม.ค.68 จึงเข้ามาขอความช่วยเหลือทางคดีกับ นายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ
นายสุรชาติ กล่าวว่า เหตุเกิดเมื่อช่วงเย็นวันที่ 18 มี.ค.67 พระลูกวัดให้ล่อลวงให้เด็กชาวเขาเข้าไปส่งน้ำแข็งในห้องซ้อมดนตรี ก่อนพระรูปดังกล่าวได้ทำร้ายร่างกาย กระทำอนาจาร และถ่ายภาพโป๊เปลือยเด็กเก็บไว้ บังคับว่าห้ามนำไปบอกใคร ก่อนผู้ปกครองของเด็กทราบเรื่องได้แจ้งความดำเนินคดีกับพระรูปดังกล่าว ต่อมาพระรูปดังกล่าวได้ลาสึก ส่วนชาวบ้านไม่พอใจออกมารวมตัวกันที่บริเวณวัด เมื่อวันที่ 22 ก.ค.67 เพื่อให้ทางวัดชี้แจงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว รวมถึงเรื่องความโปร่งใสเรื่องเงินบริจาคของวัด และความผิดปกติของวัดที่มีผู้หญิงเข้าออกวัดเป็นประจำทั้งกลางวันและกลางคืน มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
โดยชาวบ้านเรียกร้องขอให้เจ้าอาวาสออกมาชี้แจง แต่กลับมีพระบางรูปและชายฉกรรจ์ได้ออกมาขับไล่ชาวบ้าน ทำให้เกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกัน เจ้าอาวาสได้มอบอำนาจให้มีฟ้องดำเนินคดีกับตนและชาวบ้านรวม 28 คน ชาวบ้านที่เดือดร้อนได้รวมตัวกันเพื่อขอความช่วยเหลือผ่านทางสื่อมวลชน เนื่องจากไม่มีเงินในการต่อสู้คดี บางคนเจ็บป่วย ตนกับพวก 28 คน รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม และได้รับความเดือดร้อนจึงขอความช่วยเหลือจากสภาทนายความในการช่วยเหลือด้านคดีของชาวบ้านด้วย
พวกเราชาวบ้านต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ที่ผ่านมามีการทวงถามกับทางเจ้าอาวาสมาแล้ว แต่เจ้าอาวาสบ่ายเบี่ยงมาตลอด ทำให้ชาวบ้านรวมตัวกันไปยกป้ายถามที่วัด ไม่มีเจตนาไปบุกรุก หลังถูกฟ้องไปที่ยุติธรรมจังหวัด ไปสำนักอัยการคุ้มครองสิทธิ เพื่อขอคำปรึกษาทางกฎหมาย รวมถึงเข้าไปปรึกษากับทางสำนักพุทธศาสนา โดยได้รับคำแนะนำให้ชาวบ้านอยู่เฉยๆ ใจเย็น แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย จึงต้องมาพึ่งสภาทนายความ
สาเหตุที่ชาวบ้านสงสัยเกี่ยวกับเรื่องเงินบริจาคของวัดนั้น เนื่องจากทางวัดสมัยที่ยังไม่ดังมีรายได้อยู่ประมาณ 400,000 บาท ต่อเดือนพอวัดเริ่มมีชื่อเสียงดังขึ้นมีรายได้เฉลี่ยหลักล้านบาท โดยมีผู้หญิงคนนึงที่ได้รับความไว้วางใจจากเจ้าอาวาสในการดูแลเงินบริจาค รวมถึงเงินผ้าป่ากฐิน ที่ไม่เคยมีการบอกยอดตัวเลขรายได้ ทำให้ชาวบ้านเกิดข้อสงสัย เมื่อสอบถามเจ้าอาวาสทราบว่า เป็นจิตอาสามาช่วยดูแลงานของวัด แต่พวกชาวบ้านสงสัยว่าทำไมจิตอาสาท่านนี้ถึงมาทำงานกับวัดที่มีรายได้มากไม่ไปช่วยเหลือวัดที่ไม่มีรายได้ ทั้งๆที่ขับรถยุโรปราคาแพง
นายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ กล่าวว่า สภาทนายความจะรับเรื่องและให้การช่วยเหลือทางด้านกฎหมายต่อไป โดยจะพิจารณาในทันเพื่อเข้าช่วนเหลือทันวันนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 20 ม.ค.นี้
คณะทำงานเบื้องต้นที่จะเข้ามาดูแลช่วยเหลือในครั้งนี้ประกอบด้วย นายสุนทร พยัคฆ์ เลขาธิการสภาทนายความ , นายณรงค์ อาสา คณะกรรมการช่วยเหลือทางกฎหมาย , นายภานุวัฒน์ พิมพ์ทอง คณะทำงาน , น.ส.ณัฐพิมล สมเจษ เลขานุการคณะกรรมการไกล่เกลี่ย และน.ส.ณัฐสินี วันทมาตย์ คณะทำงาน มาพิจารณาร่วมกัน
ในส่วนเจ้าอาวาสถือว่ามีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย เเต่ในส่วนที่มีการระบุว่าเจ้าอาวาสให้คนไปไกล่เกลี่ยคดีอดีตพระลูกวัดข่มขืนจะมีความผิดต่อหน้าที่หรือไม่ ยังไม่สามารถบอกได้เพราะเท่าที่ทราบจากชาวบ้านอดีตพระคนดังกล่าวก็ถูกดำเนินคดีไปเเล้ว เเต่ทางสภาทนายความก็ พร้อมจะติดตามดำเนินคดีที่เด็กถูกล่วงเกินด้วยหากชาวบ้านทราบข้อมูลอะไรก็ส่งมายังเราได้
ส่วนวันนัดไต่สวนมูลฟ้องชาวบ้านที่ถูกฟ้องจะไปฟังการไต่สวนหรือไม่ก็ได้ กฎหมายไม่ได้บังคับ ส่วนกรณีเลวร้ายหากศาลประทับรับฟ้องทางสภาทนายความจะปรึกษากันเรื่องประกันตัวอีกที ซึ่งอาจจะใช้วิธีการทำสัญญาประกัน ซึ่งไม่ต้องวางหลักทรัพย์
นายสุนทร พยัคฆ์ เลขาธิการสภาทนายความ กล่าวว่าทางสภาทนายความพร้อมจัดหาทนายความที่มีความสามารถในคดีลักษณะดังกล่าวเข้ามาช่วยเหลืออย่าเต็มที่ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด หลังจากนี้หน้าที่ชาวบ้าน