6 มกราคม 2568 ภายหลังนายคงกฤษ ฉัตรมาลีรัตน์ สส.ระนอง เขต 1 พรรคภูมิใจไทย แจ้งข่าวเศร้า หลังสูญเสียคุณพ่อ นายบดินทร์ ฉัตรมาลีรัตน์ อดีตนายก อบจ.ระนอง 2 สมัย ซึ่งได้ถึงแก่กรรม และจากไปอย่างสงบ เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.2567 เวลา 16.40 น. สิริอายุ 76 ปี โดยมีพิธีการสวดพระอภิธรรมที่ศาลาการเปรียญ พระวิสุทธิธรรมคณี วัดสุวรรณคีรีวิหาร พระอารามหลวง (วัดหน้าเมือง) อ.เมือง จ.ระนอง ในเวลา 19.30 น. ไปจนถึงวันที่ 11 มกราคม นี้ และจะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ ในวันที่ 12 มกราคม 2568
เนชั่นทีวี จะพาไปทำความรู้จัก นายบดินทร์ ฉัตรมาลีรัตน์ อดีต นายก อบจ.ระนอง 2 สมัย หรือ "เสี่ยบดินทร์" ผู้ก่อตั้งก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นชื่อดัง "นายฮั้งเพ้ง-แชมป์" ซึ่งปัจจุบันมีแฟรนไชส์มากกว่า 3,000 สาขา
โดย นายบดินทร์ เกิดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2492 มีบุตร - ธิดา 8 คน เริ่มต้นชีวิตทำงานตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เนื่องจากฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวย ซึ่งทำงานรับจ้างทุกชนิด เคยเป็นแม้กระทั่งเด็กขายเครื่องสำอางภายในห้าง “เพียงใจเภสัช” เจ้าของผลิตภัณฑ์แป้งเย็นสปริงซอง ก่อนจะมาศึกษาวิชาทำลูกชิ้น และก่อตั้งแฟรนไชส์ก๋วยเตี๋ยวชื่อดัง “นายฮั้งเพ้ง” และ “แชมป์” มาตั้งแต่ปี 2527 อีกทั้ง ยังเป็นเจ้าแรกของประเทศไทย ที่ได้ประกอบธุรกิจค้าก๋วยเตี๋ยวในรูปแบบรถเข็นแฟรนไชส์
คุณบดินทร์ ฉัตรมาลีรัตน์ หรือ "ฮั้งเพ้ง" เกิดและเติบโตเป็นเด็กชาวสวน ในครอบครัวชาวจีนจังหวัดระนอง มีพี่น้องท้องเดียวกัน 12 คน และด้วยคุณบดินทร์ มีนิสัยชอบค้าขายตั้งแต่เด็ก ชีวิตในวัยเด็กของคุณบดินทร์ ไม่ได้ร่ำรวยมาก่อน โดยเริ่มทำงานตั้งแต่ 9 ขวบ ด้วยการหยิบจับสิ่งรอบตัว อาทิ ดอกมะลิ , ปากกาลูกลื่น, ปลา, กระเป๋า, รองเท้า มาสร้างรายได้ รวมถึงรับจ้างทำงานทุกอย่าง ที่สามารถทำได้
จนถึงวันหนึ่ง คุณบดินทร์ อยากมีธุรกิจของตัวเอง จึงไปเรียนทำราดหน้า และตัดสินใจกู้เงินนอกระบบ ด้วยอัตราร้อยละ 10 เพื่อซื้อสูตรราดหน้าในราคา 4,500 บาท ซึ่งถือว่าแพงมากในยุคนั้น เพราะทองคำหนัก 1 บาท คิดเป็นมูลค่าเพียง 400 บาท เท่านั้น หลังจากที่กู้เงินมาทำร้านราดหน้า ร้านก็ขายได้ดี มีลูกค้าแวะเวียนมาตลอด
แต่สุดท้ายจำเป็นต้องปิดกิจการ เนื่องจากตอนนั้นภรรยาตั้งท้อง จึงไม่มีเวลาดูแลร้าน และทำธุรกิจ กระทั่งลูก ๆ เริ่มเข้าเรียน คุณบดินทร์ จึงได้กลับมาทำธุรกิจอีกครั้ง เหตุผลที่สนใจธุรกิจเกี่ยวกับลูกชิ้น เพราะเห็นว่าคนไทยชอบกินลูกชิ้น และลูกชิ้นก็เป็นเมนูที่เข้าถึงคนทุกเพศทุกวัย ดังนั้นคุณบดินทร์ จึงนำเงินที่สะสมไว้ มาซื้อเครื่องตีลูกชิ้น แล้วเริ่มบีบลูกชิ้นด้วยมือ ผลปรากฏว่าลูกชิ้นเหนียว เพราะทิ้งไว้นานเกินไป ปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้คุณบดินทร์รู้ว่า “ถ้าเราทำสิ่งใดก็ตาม โดยปราศจากความรู้ ก็มีแต่เจ๊งกับเจ๊งเท่านั้น”
ดังนั้นคุณบดินทร์ จึงไปเรียนและฝึกฝนการทำลูกชิ้นและได้ค้นพบว่า เคล็ดลับการทำลูกชิ้นให้ อร่อย นุ่ม เด้ง อยู่ที่ขั้นตอนการบีบ ซึ่งต้องทำให้เสร็จภายใน 10 นาที ไม่เช่นนั้นเนื้อลูกชิ้นจะแข็งและไม่อร่อย หลังจากเรียนรู้ ลองผิดลองถูกได้สักพัก คุณบดินทร์ ก็ตัดสินใจนำเงินทุนที่มีติดตัวอยู่ 10,000 บาท มาซื้อเครื่องทำลูกชิ้น และรถเข็นเล็ก ๆ สำหรับทำร้านก๋วยเตี๋ยว โดยจุดเด่นของร้านในช่วงแรก จะเน้นที่เนื้อและลูกชิ้น มากกว่าเส้น พอลูกค้าได้ลอง ก็ติดใจ เริ่มบอกปากต่อปาก รวมถึงมีคนติดต่อขอซื้อธุรกิจไปทำต่อ จนขยายร้านได้ 10 สาขาด้วยกัน
เมื่อลูกชิ้นได้รับความนิยมมากขึ้น กิจการก็ขยายตัวมากขึ้น ทำให้คุณบดินทร์ ตัดสินใจเปิดโรงงานผลิตลูกชิ้นในย่านลาดพร้าว และซื้อเครื่องจักรจากประเทศเยอรมนี ด้วยราคา 2,800,000 บาท แต่ราคาที่สูง ก็ไม่ได้หมายความว่า เครื่องจักรจะใช้งานได้ดี เพราะสเปกของเครื่องจักร ผลิตไส้กรอกได้อย่างเดียว บวกกับในช่วงนั้น ยังไม่มีใครทำเครื่องผลิตลูกชิ้นออกมาขาย ต้องนำเข้าจากต่างประเทศเท่านั้น ดังนั้นพอซื้อเครื่องจักรมาแล้ว คุณบดินทร์ จึงต้องไปจ้างช่างมาช่วยดัดแปลงเครื่องจักรผลิตไส้กรอก จากประเทศเยอรมนี ให้ออกมาเป็น เครื่องจักรผลิตลูกชิ้นของไทยจนสำเร็จ พอได้เครื่องจักรที่ตรงตามสเปก และกำลังการผลิตตามต้องการแล้ว จึงได้ตั้งชื่อให้กับแบรนด์ลูกชิ้นของตัวเองว่า "ลูกชิ้นหมูนายฮั้งเพ้ง" และ "ลูกชิ้นเนื้อวัวแชมป์"
ซึ่งต่อมาพัฒนาจนกลายเป็นแฟรนไชส์ ร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นแชมป์-นายฮั้งเพ้ง และสืบทอดโดยรุ่นลูก จนถึงปัจจุบัน และขยายแฟรนไชส์ได้มากกว่า 3,000 สาขา
ภายหลัง กิจการก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นดำเนินไปได้ด้วยดี คุณบดินทร์ ได้วางมือจากการก่อตั้งโรงงานลูกชิ้นเนื้อ และลูกชิ้นหมู เป็นเวลา 8 ปี โดยหันมาทุ่มเทให้กับการผลิตไหมไทยอย่างจริงจัง เริ่มจากการศึกษาความรู้ด้านผ้าไหมจากประเทศจีน ลงทุนในทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงไหม โดยเปิดโรงงานเลี้ยงไหมอย่างเป็นทางการ ที่อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา
ต่อมา คุณบดินทร์ ได้คิดค้นพันธุ์ไหมลูกผสม ระหว่างไทยและจีน คัดเลือกพันธุ์ไหมจนได้สายพันธุ์ที่ดี ตั้งชื่อพันธุ์ไหมว่า “พันธุ์บดินทร์” โดยนำพันธุ์ไหมจากประเทศจีน แถบมณฑลกวางตุ้ง มาผสมกับไหมพันธุ์พื้นเมืองของไทย ปัจจุบัน มีไหมพันธุ์บดินทร์ 1-4 มีคุณสมบัติอดทนต่อสภาพอากาศและให้เส้นไหมคุณภาพดี
นอกจากนี้ ได้คิดค้นการผลิต “ไหมยืดได้” ซึ่งเป็นไหมชนิดแรกของโลก มีคุณสมบัติในการยืดหยุ่นดี ไม่ยับง่าย เวลาซักสามารถขยี้ได้ โดยคุณสมบัตินี้ได้มาจากขั้นตอนการสาวไหมที่ให้เส้นไหมพันรอบเส้นใยสเปนเด็กซ์
ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก : ลูกชิ้นแชมป์-ลูกชิ้นหมูนายฮั้งเพ้ง-เขตภาคใต้