16 ธันวาคม 2567 ช่วงเย็นที่ผ่านมา พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค2 แถลงผลการปฏิบัติการ ‘ทลายรังนักเลง’ ปฐมบทไล่ล่านักเลงปราจีน โดย พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวเริ่มต้นว่า “การปฏิบัติการเป็นการทำตามหน้าที่ เพราะตรงนี้เขาว่ากันว่า มีนักเลงโต ตรงนี้เขาว่ากันว่า มีผู้มีอิทธิพล เราทำหน้าที่ของเรา ทั้งฝ่ายปกครอง /กอ.รมน.จังหวัด ทำให้ที่ที่เขาว่ากันว่ามีนักเลง ปลอดนักเลง
โดยเฉพาะนักเลงที่เกะกะระรานชาวบ้าน ไม่ควรจะอยู่ในพื้นที่ปราจีนบุรีอีกต่อไป เพราะปราจีนบุรี ถือเป็นบ้านของผมเช่นกัน พอได้ยินคำว่าปราจีนบุรีมีนักเลง มีเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น ผมก็ทนไม่ได้ เหตุการณ์สะสมมาเมื่อไรไม่รู้แต่เพิ่งมาแผงฤทธิ์ ดังนั้นเรากำลังทำหน้าที่ของเราในการกวาดบ้านของเรา”
พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า การทลายรังนักเลงครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น โดยผลจากการปฏิบัติ 2-3 วันที่ผ่านมา โดยตรวจค้น 12อำเภอ 59 เป้าหมาย พบอาวุธปืน 79 กระบอก กระสุน 601 นัด จับกุมผู้ต้องหาได้ 8 ราย และคาดว่า หลังจากนี้ การกวาดล้างและเพิ่มจำนวนอาวุธได้ ซึ่งการกวาดล้างครั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมการเลือกตั้งส่วนท้องถิ่นที่จะมาถึง เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการใช้ความรุนแรง และใกล้ช่วงเทศกาลปีใหม่ จึงได้สร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ในการทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อให้ปราจีนบุรีสูงขึ้น และพวกเรามั่นใจในการทุ่มเทกำลังในการกวาดล้าง ว่าจะไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น
ส่วนที่ประชาชนเชื่อว่า คงจะกลับมาเหมือนเดิมเหมือนคดีที่ผ่านๆ มานั้น พล.ต.ท.ยิ่งยศ ระบุว่า แม้ประชาชนจะคาดการณ์ก็เป็นการคิดว่า เพราะเคยเกิดแล้วและเกิดอีก แต่ภาพที่เห็นของการทำงานตำรวจ ก็สามารถพิสูจน์ได้ในระดับหนึ่งว่า หลังเกิดเหตุไม่ถึงชั่วโมง สามารถควบคุมสถานการณ์ และควบคุมผู้ต้องหาสำคัญ รวมถึงแจ้งข้อกล่าวหาได้ภายในไม่ถึง 2 ชั่วโมง ซึ่งปรากฎการณ์นี้ จะสร้างความมั่นใจได้ในระดับหนึ่ง และการกวาดล้างก็เพื่อเพิ่มความมั่นใจในอนาคต
จากนั้น พล.ต.ท.ยิ่งยศ ให้สัมภาษณ์ ถึงความคืบหน้าทางคดีสังหาร สจ.โต้ง เพิ่มเติมด้วยว่า การตรวจค้นเมื่อเช้ามีความเชื่อมโยงกับคดีของ สจ.โต้ง หรือไม่นั้น คงยังสรุปไม่ได้ ซึ่งตำรวจได้หอบพยานหลักฐาน ไปให้ทำการตรวจสอบทั้งหมดแล้ว และจะนำผลการตรวจสอบมาพิจารณาว่า เกี่ยวข้องกันหรือไม่ และขอยังไม่ตอบว่า เป้าหมายที่เข้าตรวจค้น ซึ่งเป็นนักการเมืองท้องถิ่น จะเกี่ยวข้องกับคดีอย่างไร ขอไปพูดในชั้นอัยการและชั้นศาล
ยืนยันว่าพยานหลักฐานทั้งหมดที่รวบรวมได้ จะนำเข้าสู่กระบวนการที่จะนำไปพิสูจน์ในกระบวนการสอบสวน ซึ่งทั้ง 59 เป้าหมาย ยืนยันว่า ไม่ได้พัวพันกับโกทรเพียงอย่างเดียว แต่ใครก็ตามที่กระทำความผิดที่นี่ ก็เข้าเป้าหมายตรวจค้นทั้งหมด ส่วนใครที่จะหลบหนี หรือมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมีความผิด ก็จะออกหมายแล้วติดตามตัวมา “หน้าที่หนีก็หนีไป หน้าที่ตามเป็นหน้าที่ของเรา”
ส่วนใจหรือไม่ว่า 7ผู้ต้องหาเป็นคนฆ่า สจ.โต้ง นั้น พล.ต.ท.ยิ่งยศ บอกว่า ตำรวจคงไม่ขอตอบแต่เรามีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐาน รวมรวบคนในที่เกิดเหตุ และตั้งสมมติฐานแจ้งข้อกล่าวหา และตำรวจไม่ใช่ศาล จึงบอกความมั่นใจไม่ได้ ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานส่งไปพิสูจน์ความผิด
ส่วนที่กังวลว่าจะไปหลุดในชั้นศาลนั้น ตนเองไม่ขอก้าวล่วงในหน่วยงานอื่น แต่ตำรวจทำเต็มกำลังความสามารถ และมีหน่วยงานอื่นๆ ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาพิจารณาคดี และพิจารณาพยานหลักฐานด้วยความรอบคอบ คงไม่มีใครกล้าบ้าบิ่นไปแจ้งข้อหา ที่พยานหลักฐานไม่ครบถ้วนถูกต้อง และยืนยันว่า ถ้าไม่มีพยานหลักฐานคงไม่กล้าแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งพยานหลักฐานดังกล่าว เป็นพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ และพยานแวดล้อม
ส่วนเขม่าดินปืน การตรวจสอบที่มีการตรวจสอบไม่ยืนยันว่า เจอกี่คน เพราะมันเป็นเรื่องของสำนวน ส่วนผู้ต้องหาสองคนที่รับสารภาพว่า เป็นคนลงมือยิง แต่ปรากฏว่ามีการยิงกระสุน 30 กว่านัด ในการรับสารภาพก็ไม่เชื่อ ทั้งหมดซึ่งเป็นแค่คำให้การของผู้ต้องหา ซึ่งมีทั้งจริงและไม่จริง ซึ่งจะต้องมีการสืบสวนว่าคนที่อยู่ในที่เกี่ยวข้องเกี่ยวข้องกับผู้ตายมากน้อยเพียงใด
ส่วนคดีนี้จะทำเองหรือให้สอบสวนกลางดำเนินการนั้น พล.ต.ท.ยิ่งยศ บอกว่า คงยืนยันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเหมาะที่ผู้บังคับบัญชาพิจารณา และเป็นไปได้ที่จะให้กองปราบทำ หากเป็นการกระทำความผิดหลายพื้นที่ และสังคมอาจจะคิดว่า ตำรวจทำเองอยู่ในพื้นที่และอึดอัดที่จะเรียกคนมาสอบ ก็ให้คนกลางมาทำก็แฟร์ดี และตำรวจภูธรภาค2 ก็ทำเต็มที่ที่สุดแล้ว แต่เพื่อลดข้อครหา และความสะดวกในการเชื่อมโยงหลายพื้นที้ก็เอาหน่วยกลางมาทำ
ส่วนกรณีของลูกน้อง สจ.โต้ง ที่พบว่าเป็นข้าราชการตำรวจและอยู่ในพื้นที่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนซึ่ง ยืนยันว่าได้มีการนำบุคคลทั้งหมด ที่อยู่ในที่เกิดเหตุมาสอบปากคำ ใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิด ก็จะดำเนินการโดยไม่ละเว้น พร้อมกับให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย จะช้าหรือเร็ว ก็จะต้องให้ความเป็นธรรมจะเอาเร็วแล้วตัดสินว่าผิดหรือถูกเลย คงไม่สบายใจ หากเป็นตัวเองก็คงจะไม่สบายใจฉะนั้นจะต้องตรวจสอบให้รอบด้าน
ส่วนการที่จะย้ายผู้ต้องขังไปอยู่ในพื้นที่ใด ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของตำรวจ เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลในการพิจารณา รวมทั้งไปโรงพยาบาลราชทัณฑ์ก็เป็นเรื่องของกรมราชทัณฑ์
ส่วนความขัดแย้งในพื้นที่ ก็มีการเฝ้าระวังตลอดเวลา เนื่องจากมีความกังวลว่า เหตุการณ์ในอนาคตจะเป็นอย่างไร ดังนั้นก็จึงสั่งทุกหน่วยให้เฝ้าดูสถานการณ์อย่างเข้มงวด โดยได้มีการตรวจค้นอย่างที่เห็นเพื่อป้องปราม