28 พฤศจิกายน 2567 พ.ต.ท.พงษ์ศักดิ์ มีมุสิก สว.กก.5 บก.ป. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดปฏิบัติการที่ 5 กก.5 บก.ป. ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 2 ราย ได้แก่
1. นายวิรัตน์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 64 ปี ผู้ต้องหาที่ 1
2. นายณัฐชัย (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาที่ 2
ดำเนินคดีข้อหา "ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน" หลังเข้าตรวจค้นที่โรงงานแปรรูปไม้ยางพาราแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี
พร้อมยึดของกลาง
1. มิเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคยืนยันว่ามีร่องรอยแก้ไขดัดแปลง เพื่อลักกระแสไฟฟ้า จำนวน 1 เครื่อง
2. เครื่องขุดบิทคอยน์ จำนวน 97 เครื่อง
3. เครื่องคอมพิวเตอร์ พร้อมอุปกรณ์ส่วนควบ จำนวน 1 เครื่อง
ด้านเจ้าหน้าที่ เผยพฤติกรรมว่า ก่อนการปฏิบัติการในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. ได้สืบสวนทราบว่ามีโรงงาน ซึ่งเป็นโรงเลื่อยแปรรูปยางพาราแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี มีการลักกระแสไฟฟ้าเพื่อให้สำหรับเครื่องขุดบิทคอยน์โดยผิดกฎหมาย จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายค้นจากศาลจังหวัดไชยา เพื่อเข้าตรวจค้นโรงงานดังกล่าว
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. ได้ร่วมกับ เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) เข้าตรวจค้นโรงงานดังกล่าว พบผู้ต้องหาทั้งสอง เป็นกรรมการบริษัทซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงาน
ผลการตรวจค้นพบ มิเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคยืนยันว่ามีร่องรอยแก้ไขดัดแปลง เพื่อลักกระแสไฟฟ้า จำนวน 1 เครื่อง เชื่อมต่อใช้อยู่อยู่กับระบบไฟของโรงงาน,
พบเครื่องขุดบิทคอยน์ ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าของโรงงานและเปิดใช้งานอยู่จำนวน 97 เครื่อง
สอบถามผู้ต้องหาที่ 2 รับว่าได้มีการแก้ไขดัดแปลงมิเตอร์เพื่อลักกระแสไฟฟ้าและใช้งานกับเครื่องขุดบิทคอยน์ดังกล่าวจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. จึงได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย พร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
จากการสอบถามผู้ต้องหาที่ 1 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การเพิ่มเติมว่า ตนมิได้มีส่วนรู้เห็นในการดัดแปลงแก้ไข มิเตอร์ไฟฟ้าแต่อย่างใด เพียงแค่ทราบว่า นายณัฐชัยฯ บุตรชายได้ ติดต่อให้เพื่อนนำเครื่องขุดบิดคอยมาติดตั้ง ที่บริเวณในโรงงานตั้งแต่ประมาณต้นปี 2566 โดยผู้ต้องหาที่ 1 ให้การสนับสนุนในเรื่องเงินลงทุน
ผู้ต้องหาที่ 2 ให้การรับสารภาพตอดข้อกล่าวหา รับว่าเมื่อประมาณต้นปี 2566 ได้จ้างช่างรายหนึ่ง (ซึ่งอยู่ระหว่างสืบสวนขยายผล) มาทำการดัดแปลงมิเตอร์ไฟให้อ่านค่าได้น้อยกว่าความเป็นจริง
และได้ติดตั้งเครื่องขุดบิทคอยน์ภายในพื้นที่โรงงานของตน และเปิดใช้งานเครื่องขุดบิทคอยน์เรื่อยมาจนกระทั่งถูกตรวจค้นจับกุมตรวจสอบพบมูลค่าความเสียหาย
จากการตรวจสอบปริมาณการใช้ไฟฟ้าพบว่า หากไม่มีมีการดัดแปลงมิเตอร์ไฟฟ้า เครื่องขุดบิทคอยน์ของกลางจำนวน 97 เครื่องจะต้องเสียค่าไฟเดือนละประมาณ 1 ล้านบาท แต่โรงงานดังกล่าวได้ชำระค่าไฟจริงเพียงเดือนละประมาณ 6-7 หมื่นบาท
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ขอประชาสัมพันธ์ไปถึงประชาชนทั่วไป หากพบผู้มีพฤติการณ์ผิดปกติที่น่าเชื่อว่าอาจมีการดัดแปลงมิเตอร์เพื่อลักกระแสนไฟฟ้าสำหรับติดตั้งเหมืองขุดบิทคอยน์ โปรดแจ้งเบาะแสได้ที่ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เพื่อตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ดูคลิป