25 พฤศจิกายน 2567 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวัณวัฒน์ หรือทนายพัช เดินทางมาศาลอาญา พร้อมเอกสารการยื่นขอถอนตัวออกจากการเป็นทนายความให้นางสรารัตน์ หรือ "แอม ไซยาไนด์" โดย น.ส.ธันย์นิชา หรือทนายพัช เปิดเผยว่า วันนี้มายื่นถอนตัวจากการเป็นทนายความให้กับนางสรารัตน์หรือแอม เนื่องจากความเห็นของทนายความกับลูกความมีความเห็นไม่ตรงกัน
ที่ผ่านมาตนได้ทำหน้าที่ในศาลชั้นต้นเรียบร้อยแล้ว จึงหมดหน้าที่ในศาลชั้นต้น แต่รายละเอียดไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากเป็นเรื่องภายในสำนวน ตามมรรยาทของทนายความถึงแม้ทนายความจะออกจากการเป็นทนายความของลูกความแล้ว จะต้องรักษาความลับของลูกความเอาไว้ ไม่สามารถนำมาเผยแพร่ได้
ทนายพัช กล่าวว่า ในส่วนการอุทธรณ์คดี ทางแอมต้องหาทนายความคนอื่นมาแก้ต่างในชั้นอุทธรณ์ต่อไป เพื่อจะได้ลองทำงานร่วมกับทนายคนอื่นว่าจะมีการดำเนินการกับแอมอย่างไร ที่ผ่านมาตนได้ทำหน้าที่ในฐานะทนายความที่ดี และความลับของลูกความเราก็ไม่บอก ขณะนี้ตนมีหน้าที่ในการเตรียมอุทธรณ์ในส่วนของตัวเอง ต้องมาดูว่ามีข้อผิดพลาดตรงไหน เพื่อขอความเมตตาจากศาลสูงในชั้นอุทธรณ์ต่อไป
สำหรับการถอนตัวจากการเป็นทนายความแอม ตนตัดสินใจมานานแล้ว และได้คัดทะเบียนราษฎร์ของแอมตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 ต.ค.67 ที่ผ่านมา ตั้งแต่ก่อนศาลมีคำพิพากษา ไม่ว่าผลคำพิพากษาจะเป็นเช่นไร ตนก็ตัดสินใจขอถอนตัวอยู่ดี และขอถอนตัวจากทุกสำนวนคดี ส่วนตัวแอมไม่ได้ว่าอะไร และแอมก็ร้องขอว่าอย่าถอนเลย แต่เมื่อความเห็นไม่ตรงกันในมุมของนักกฎหมายจึงขอถอนตัวออกมา ซึ่งการถอนทนายจะมีผลต่อเมื่อศาลมีคำสั่ง ตนอยากให้แอมได้สัมผัสกับทนายคนอื่นบ้างว่าเขาจะดำเนินการอย่างไร มีมุมมองความเห็นในการสู้คดีอย่างไร
ทนายพัช กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องที่ตนถูกแอมซัดทอดมานั้น ไม่ได้รู้สึกโกรธ แต่ใช้คำว่าติดใจมากกว่า เพราะการทำงานมันต้องตรงไปตรงมา จากนี้แอมมีสิทธิ์ที่จะเลือกทนายความคนไหนก็ได้ และทนายความก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกทำหรือไม่ก็ได้ ยืนยันว่าไม่ใช่การลอยแพ เพราะได้ตัดสินใจเรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อนมีคำพิพากษาแล้ว และคิดว่าแอมคงหาทนายใหม่ได้ แม้คดีจะมีความสลับซับซ้อนก็ตาม หลังจากนี้คงไม่ได้ไปเยี่ยมแอมที่เรือนจำเเล้วในส่วนอีก 14 สำนวนที่เหลือก็ทราบว่าพนักงานสอบสวนจะมีการส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาพรุ่งนี้
ทนายพัช กล่าวด้วยว่า วันนี้ยังมีเรื่องที่จะต้องติดตามก็คือ ตนจะไปให้ถ้อยคำเพิ่มเติมต่ออัยการสำนักงาน การสอบสวน ในความผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ที่เคยได้ยื่นเเจ้งให้ทำการสอบสวนไปก่อนหน้านี้ กับชุดจับกุมที่นำโดยอดีตนายตำรวจคนดัง ซึ่งตนเป็นผู้รับมอบอำนาจจากแอมในการร้องเรียน การจับกุมเรื่องปกปิดชะตากรรมเมื่อจับกุมแอมแล้วไม่ได้แจ้งให้กรมการปกครองเเละสำนักงานอัยการสูงสุดทราบ เท่ากับเป็นเรื่องการปกปิดชะตากรรม จึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ อันเป็นความผิดต่อแผ่นดิน เป็นหน้าที่ที่ตนต้องนำข้อมูลไปเเจ้ง ซึ่งก็ทราบล่าสุดว่าทางตำรวจยอมรับเเล้วว่าไม่ได้ทำตามขั้นตอนตามกฎหมายซึ่งขณะนั้นมีการประกาศใช้เเล้ว
ด้าน นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ "ทนายเดชา" ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ เดินทางมาศาลอาญาเเละบังเอิญเจอกับ ทนายพัช ก็ได้เดินทางมาพูดคุยจับมือให้กำลังใจพร้อมหยอกล้อ
นายเดชา ระบุว่า วันนี้ตนได้เจอพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนได้เเจ้งว่าจะยื่นอุทธรณ์คดีแอมไซยาไนด์ โดยจะขอให้ศาลเพิ่มโทษในส่วนของทนายพัช
ผู้สื่อข่าวถามว่าอำนาจการพิจารณาอุทธรณ์เป็นของอัยการศาลสูง อัยการเจ้าของสำนวนทราบได้อย่างไร นายเดชา กล่าวว่าใช่ๆ เขาคุยกันเเล้ว
สำหรับคดีดังกล่าว เมื่อวันที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมา ศาลอาญามีคำพิพากษาประหารชีวิตนางสรารัตน์ หรือแอม ในคดีวางยาพิษทำให้นางสาวศิริพร หรือก้อย เสียชีวิต และพิพากษาจำคุก พ.ต.ท.วิฑูรย์ อดีตสามีแอม เป็นเวลา 1 ปี 4 เดือน และจำคุก น.ส.ธันย์นิชา หรือทนายพัช เป็นเวลา 2 ปี ในข้อหา ช่วยเหลือผู้กระทำผิดให้ต้องรับโทษ หรือรับโทษน้อยลง โดย พ.ต.ท.วิฑูรย์ และน.ส.ธันย์นิชา หรือทนายพัช ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี ศาลตีหลักทรัพย์คนละ 100,000 บาท