24 พฤศจิกายน 2567 นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพัมธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พธม. เผย ก่อนเปิดเวที ''ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว เพื่อชาติ'' ครั้งที่ 4 ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ท่าพระจันทร์
นายสนธิ กล่าวถึง กรณีที่ออกมาเปิดเผยกรณี "หมอบุญ" นพ.บุญ วนาสิน ผู้บริหารเครือโรงพยาบาลเอกชื่อดัง หลอกลวงนักลงทุนจนมีผู้เสียหายจำนวนมาก ว่า
กรณีของนายแพทย์บุญนี้ คือลักษณะแชร์ลูกโซ่รูปแบบหนึ่ง เหมือนกรณี "บอสพอล" เป็น ''บอสบุญ'' และผู้ที่จะต้องถูกดำเนินคดีด้วยมากที่สุด คือ บรรดาโบรกเกอร์ตามตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถือเป็นแม่ข่ายชักชวนลงทุน นำโครงการที่เลื่อนลอยไปหลอกลวงนักลงทุน
และผู้ที่ไม่ทราบ ก็ถูกหลอกลวง และร่วมลงทุนด้วยเพราะความเป็น ''หมอบุญ'' โดยที่ไม่ได้ไปศึกษาก่อนว่านายแพทย์คนนี้ ไม่ได้แตกต่างคนที่ฉ้อโกงหลอกลวง
ตนตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใด "หมอบุญ" อายุ 86 ปีแล้ว มีภูมิหลังการศึกษาดี แต่กลับมาความคิดเช่นนี้ได้ ตั้งแต่เรื่องวัคซีนไฟเซอร์ สมัยการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่มีการปั้นข่าว และปล่อยข่าว เพื่อประโยชน์ในหุ้นของตนเอง และเมื่อประชาชนหลงไปซื้อหุ้นจากราคาขึ้น ก็ออกมาบอกว่า ไม่สามารถตกลงการซื้อวัคซีนได้จึงสรุปได้ว่า ณ วันนี้ ประเทศไทยหากคนจะเลว ก็ไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะ เพราะถ้าจะเลวก็เลวทุกคน
"หมอบุญ" นพ.บุญ วนาสิน
ส่วน "หมอบุญ" ที่ตอนนี้ไปพำนักอยู่ที่ประเทศจีนแล้ว จะกลับมาหรือไม่นั้น
นายสนธิ ระบุว่า ตนเองไม่ทราบ
กรณีที่ทนายตั้ม หรือ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ประกาศจะสู้คดีสุดตัว
นายสนธิ ยังกล่าวถึง ถือเป็นหนทางเดียวของทนายตั้ม แต่จะสู้ได้แค่ไหน ตนมั่นใจในหลักฐานที่ตำรวจได้เตรียมไว้แล้ว ดังนั้น จึงจะต้องรอดูตำรวจ และอัยการ เพราะจากการที่ตนเองได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่สืบสวน เจ้าหน้าที่ก็มีความมั่นใจ และตนเองก็ไม่ขอยุ่งในคดีด้วย ซึ่งตนมีหน้าที่เดียวคือ การทำความจริงให้ปรากฏ
ส่วนหลังจากนี้ นายสนธิจะมีการแฉใครอีกหรือไม่นั้น
นายสนธิ ระบุว่า ตนเองก็ยังไม่ทราบ พร้อมยอมรับว่า ตนเองเป็นคนมีข้อมูลมาก แต่หากยังไม่ถึงเวลาตนเองยังไม่เปิดเผย