6 พฤศจิกายน 2567 ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร พนักงานสอบสวน บก.ปปป. และพนักงานสอบสวน บก.ป. ได้เข้าสอบปากคำ "บอสพอล" นายวรัตน์พล วรัทน์วรกุล และ "โค้ชแล็ป" นายจิระวัฒน์ แสงภักดี ปม "นักร้องเรียนหญิง ก." เรียกรับเงิน และประเด็นพยานเท็จ ของ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด รวมถึงประเด็นบุคคลที่อ้างตัวเป็นตำรวจ เรียกเงิน 9,000,000 บาท ก่อนถูกรวบ
ซึ่งการสอบปากคำนั้น เริ่มในเวลา 10.30 น. ใช้เวลาเกือบ 5 ชั่วโมง จนถึงเวลา 15.00 น. ปรากฏว่า มีรถของพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางขับออกมาจากเรือนจำทันที
จากนั้น นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความ "บอสพอล" ให้สัมภาษณ์หลังการสอบปากคำ ว่า วันนี้ตำรวจสอบสวนกลางเข้าไปสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ก็ให้การไปตามความจริง แต่ไม่ทราบว่า เป็นประเด็นอะไรบ้าง ซึ่งมีทั้งประเด็น "นักร้องเรียนหญิง ก." และกรณีที่ อัจฉริยะ กล่าวอ้างว่า มีตำรวจเรียกรับเงิน 9 ล้านบาท
ทั้งนี้ บอสพอล ไม่ได้มีการสั่งการ ให้มาดำเนินการอะไรเป็นพิเศษ แต่หลังจากนี้ ตนเองจะให้สัมภาษณ์เป็นครั้งสุดท้าย และพยายามจะพูดให้น้อยลง เนื่องจากเป็นความต้องการของผู้ต้องหา และเป็นกลยุทธทางคดี
โดยยืนยันว่า ไม่ได้ถูกกดดัน แต่เนื่องจากที่ผ่านมายังไม่ได้เริ่มการทำงานทางคดี ทำให้งานล่าช้า จึงจะใช้เวลาไปเตรียมพยานหลักฐานและรายละเอียดทางสำนวนคดี เพื่อต่อสู้คดีอย่างเต็มที่
เพราะหากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เข้ามาแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม จะได้มีความพร้อมในเอกสารคำให้การต่างๆ ซึ่งจนถึงขณะนี้ทาง DSI ยังไม่ได้มีการประสาน เข้ามาเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาแชร์ลูกโซ่ และพ.ร.บ.ขายตรง
ส่วนกระแสข่าวที่ว่า DSI จะเข้ามาแจ้งข้อกล่าวหาในวันที่ 8 พ.ย.นี้ ตนเองก็ยังไม่ทราบเช่นกัน เพราะยังไม่ได้รับการประสานมา ซึ่งหาก DSI จะมาแจ้งข้อกล่าวหา ในวันที่ 8 พ.ย.นั้น ก็ขอให้ประสานมาก่อน ไม่ใช่เข้ามาแจ้งข้อกล่าวหาโดยไม่แจ้งทนายความ แบบนี้ผมก็ไม่เอาด้วย’ ทั้งนี้หากวันดังกล่าวเป็นการแจ้งข้อกล่าวหา ตนเองก็พร้อม แต่หากจะให้มีการสอบปากคำคงยังไม่พร้อม เนื่องด้วยสภาพภายในเรือนจำที่มีห้องสอบสวนเพียงห้องเดียว
และขณะนี้บอสพอล ทราบแล้วว่า DSI เตรียมแจ้งข้อกล่าวหาแชร์ลูกโซ่ ซึ่งบอสพอล ไม่ได้มีท่าทีกังวลอะไร และเตรียมสู้คดี ไม่ได้มีการฝากอะไรมาเป็นพิเศษด้วย เพียงแค่ให้เป็นหน้าที่ของตนเองในการต่อสู้คดีเท่านั้น โดยตนเองได้รายงานความคืบหน้า การเตรียมพยาน แก้ข้อกล่าวหา ที่มีรายชื่อกว่า 2,400 คน และมีการยืนยันตัวตนแล้ว 1,500 คน รวมถึงพยานผู้เชี่ยวชาญ อีก 1 คน ส่วนพยานที่เป็น บริษัทผลิตสินค้าจะทำคำให้การเป็นเอกสารมายื่นให้กับดีเอสไอ
ทนายวิฑูรย์ ยอมรับว่า พยานผู้เชี่ยวชาญคนดังกล่าว จะเป็นบิ๊ก เซอร์ไพรส์ สำหรับการแก้ข้อกล่าวหาในคดีนี้ เพราะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายพ.ร.ก. กู้ยืมเงินว่าด้วยการฉ้อโกงประชาชน หรือ แชร์ลูกโซ่ และเคยทำเรื่องแชร์ลูกโซ่มาแล้วหลายเรื่อง ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายมาเป็น 10 ปี โดยเชื่อว่า จะให้ความรู้ และแง่คิดทางกฎหมายที่มีประโยชน์ต่อคดี ซึ่งจะทำให้ DSI เห็นอีกมุมหนึ่ง แบบที่ไม่ใช่การถูกกล่าวหาได้
ทั้งนี้ความพร้อมในการแก้ข้อกล่าวหาแชร์ลูกโซ่นั้น ขณะนี้เตรียมพยานหลักฐานได้ในระดับหนึ่งแล้ว
ทนายวิฑูรย์ ยังบอกถึงการจัดทำบัญชีพยานที่จะต้องนำส่งให้กับ DSI เพื่อนำพยานของผู้ต้องหาในคดีเข้าให้ปากคำด้วย ว่า ขณะนี้ DSI จะยังไม่ได้นัดหมายสอบปากคำ ซึ่งตนเองมองว่า คงเพราะ DSI น่าจะยังอ่านรายละเอียดของสำนวนไม่ครบถ้วน จึงยังไม่สามารถตั้งประเด็นในการสอบสวนได้ และขณะนี้ตนเองก็ได้ทำบัญชีพยานไปแล้ว 1,500 คน
โดยมีการจัดกลุ่มพยาน แบ่งเป็นตามระดับของตัวแทน และจัดกลุ่มขายสินค้า ทั้งขายปลีก ขายส่ง และขายออนไลน์ ซึ่งเมื่อครบถ้วนก็เตรียมจะยื่นบัญชีพยานให้กับ DSI
และยืนยันว่า DSI จะต้องสอบปากคำพยานทุกคน เพราะมองว่า เมื่อมีการสอบปากคำผู้เสียหายทุกคน พยานของฝั่งผู้ต้องหา ก็ต้องการที่จะให้ปากคำทุกคน เช่นกัน จะโยนกลับมาให้ทนายไปทำสรุปคำให้การกว่า2000คนนั้นไม่ได้ เพราะต้องให้ความเป็นธรรมกับฝั่งผู้ต้องหาด้วย
จะบอกว่าเดี๋ยวคดีล่าช้าผู้เสียหายเสียประโยชน์ ถ้าคดีไม่เรียบน้อยคดีไม่ได้รับความเป็นธรรมผู้ต้องหาก็เสียประโยชน์เหมือนกัน เพราะนี่คือชีวิตของครทั่งขีวิต ถ้าเขาแพ้คดีเขาติดตุก เขาเสียอิสระภาพ ซึ่งตอนนี้เขายังเป็นผู้บริสุทธิ์ เว้นแต่ดีเอสไอจะมองว่ามีธงในใจว่าจะเอามันก็อีกเรื่องหนึ่งแต่ผมมั่นใจว่าดีเอสไอคงไม่มองขนาดนั้นคงจะมีความเป็นธรรมและความเป็นกลางสูง พยานทุกคนที่นำเสนอจะต้องสอบทุกคนจะมาปิดปาก แล้วส่งอัยการเลยก็ไม่จบ ก็ต้องไปร้องขอความเป็นธรรมวุ่นวายช้าไปอีก
พร้อมยืนยันว่า การให้สอบพยานทุกคนไม่ได้เป็นการข่มขู่ เพราะป็นการเอาพยานไปเสนอให้สอบสวน เพราะคดีอื่นทั่วไปยังเอาพยานทั้งฝั่งเลย แล้วพอคดีดิไอคอนที่เป็นคดีสำคัญก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับฝั่งผู้ต้องหาด้วย “แม้คดีความ เรื่องของความยุติธรรมต้องเป็นไปด้วยความรวดเร็ว แต่ความรวดเร็วแบบชุ่ยๆก็ไม่ควรมี
ส่วนจะเริ่มสอบปากคำได้เมื่อไรนั้นตนเองไม่ทราบ ทั้งนี้หากให้การได้ช้า อาจจะเพราะต้องสอบเยอะ แต่ก็มองว่ามีวิธีแก้ปัญหาเพราะดีเอสไอมี 10 ภาคสามารถแบ่งไปในทุกภาคในการช่วยสอบปากคำได้ ซึ่งตนเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าจะทันกรอบระยะเวลาฝากขัง 84 วัน หรือไม่นั้น ซึ่งหากไม่ทันก็คงต้องปล่อยตัว แต่ถ้าจะมาตัดพยานตนเองคงไม่ยอม