svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

พยาน "ดิไอคอน" ประสานเสียงขอบคุณบอสพอล ส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้ผันมาเป็นผู้ค้า

พยาน "ดิไอคอน" เข้าให้ปากคำดีเอสไอ ประสานเสียงขอบคุณ "บอสพอล-บริษัท" ให้โอกาสทางธุรกิจ โวสินค้ายังขายได้แม้มีข่าวฉาว พบส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้ก่อนผันตัวมาเป็นตัวแทนจำหน่าย

4 พฤศจิกายน 2567 ความคืบหน้าคดี "ดิไอคอนกรุ๊ป" ที่วันนี้ ทนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของบอสพอลและบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ได้พาพยานของฝั่งดิไอคอน ชุดแรกจำนวน 20 คน มาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของดิไอคอนกรุ๊ปว่า บริษัทประกอบธุรกิจจริง และตัวแทนที่พามาได้เปิดบิลกับบริษัทดิไอคอนกรุ๊ปมีสินค้าอยู่จริง ทำธุรกิจจริง และเป็นตัวแทนที่ยังขายของอยู่ในปัจจุบัน

โดย นางสาวมลญ่า หนึ่งในพยานที่เดินทางมาในวันนี้ เปิดเผยว่า วันนี้อยากมาเป็นส่วนหนึ่ง ที่จะมาเป็นพยานให้ดิไดคอน และทุกคนยังขายสินค้าได้ตามปกติ การมาวันนี้ก็เพื่อมาแสดงให้เห็นเหรียญอีกหนึ่งด้าน และตนได้รับการดูแลเป็นอย่างดีที่สุด จากบริษัทในการทำธุรกิจ เพราะตลอดเวลาที่อยู่มากับบริษัทมา ได้รับความรู้ ซึ่งอยากมายืนยันว่า เราเจอแต่มุมดีๆ

การเข้ามาทำธุรกิจ ส่วนตัวเข้ามาจาก เริ่มจากการกินใช้สินค้า และเริ่มเข้ามาทำธุรกิจกับดิไอคอน เพราะอยากได้ทักษะความรู้ และอยากได้การทุำธุรกิจอีกหนึ่งช่องทาง เพราะเดิมตนเองทำธุรกิจอยู่แล้ว ซึ่งการมาทำธุรกิจ ก็ได้นำความรู้จากบริษัทไปใช้ในธุรกิจของตนเองด้วย

ส่วนตัว ทำธุรกิจมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของบริษัท เปิดบิลขายสินค้าที่ 50,000 บาท นานกว่า 4 ปี จนถึงปัจจุบัน เป็นตัวแทนอยู่ในเปิดระดับวิสด้อม และส่วนตัวจะเน้นขายสินค้า ให้ซื้อสินค้าทาน เพราะถ้าไม่เข้าใจเรื่องสินค้า จะไปโกหกลูกค้าไม่ได้ และไม่ได้เน้นหาตัวแทน จนถึงวันนี้ส่วนตัวสินค้ายังขายได้ตลอดทุกวัน ส่วนมีลูกทีมอยู่เท่าไรนั้น เจ้าตัวตอบว่า “ไม่ได้มุสาแต่ทำไม่ได้ ต้องเปิดดูในระบบ แต่เกินกว่าร้อยคนอยู่แล้ว”
พยาน \"ดิไอคอน\" ประสานเสียงขอบคุณบอสพอล ส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้ผันมาเป็นผู้ค้า
 

เมื่อนักข่าวถามว่า หลังเป็นคดีความมีผลกระทบกับการทำธุรกิจอย่างไรบ้างนั้น นางสาวมลญ่า ตอบว่า ขอโทษ ขออภัยลูกค้าที่ตลอดหลายปี ที่ขายคอลลาเจนและสินค้าอื่นๆ มีลูกค้าเข้าใจผิด เรื่องของ อย. จึงขอยืนยันว่า สินค้าที่ตนเองทำถูกต้องตามกฏหมาย มี อย. จึงขอให้ลูกค้าทานต่อ เพราะยังมีสินค้าอยู่ ตนไม่ได้อยากให้เกิดเรื่องนี้ ไม่อยากให้ลูกค้าตกใจว่าไม่ควรกินแล้ว แล้วจะเอาของมาคืน

และคนที่มาทำธุรกิจร่วมที่บอกว่า ตนไม่ทำอะไร อยากจะบอกว่าตนเสียใจ และวันนี้ก็มาแสดงความจริงใจในทีมว่า ตนไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น  และเชื่อว่าเป็นอะไรที่ควบคุมไม่ได้ ไม่อยากให้กล่าวโทษ ทั้งนี้ไม่ได้เป็นเพราะขายสินค้าไม่ได้ จนลูกค้าจะเอามาคืน แต่ลูกค้าก็ไม่มั่นใจในการรับประทาน โดยตั้งแต่เกิดเรื่องสินค้าก็ยังขายได้ตามปกติ 
 

“ไม่ขอใช้คำว่า อยู่ข้างบริษัท แต่ขอใช้คำว่า สิ่งที่อยู่มาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เห็นในมุมดีๆ เห็นความเมตตา ไม่เคยบังคับ ให้พี่ตัดสินเอง และบริษัทจะพูดเสมอว่า สิ่งไหนไม่พร้อมไม่ต้องทำ แล้วยังห่วงใยในธุรกิจพี่” ส่วนบอสดาราทั้ง 3 คน บางช่วงก็จะมาสอนออนไลน์

นางสาวมลญ่า ยืนยันอีกว่า การมาให้การวันนี้ ไม่ได้จัดฉากในการมาให้การ เพราะคงไม่สะดวกๆ และไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ถ้าจัดฉากแล้วจะซ้อมบอกให้ทุกคนมาพูดเหมือนกันทุกวันได้สักกี่วัน ดังนั้นไม่ต้องจัดฉาก เพราะความจริงก็จะเป็นความจริง 

“การออกมาเป็นพยานในวันนี้ เป็นการตอบแทนบุญคุณบริษัทหรือไม่นั้น มองว่า บริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ให้ทักษะให้ความรู้ เมื่อตนเองได้รับสิ่งนี้ และวันนี้เมื่อบริษัทได้รับความเดือดร้อน ก็ขอตอบแทนพระคุณ เพราะตนก็เป็นหนึ่งเมล็ดที่ได้สร้างมาให้มีอาชีพ และได้ไปช่วยคนอื่น และอยากมาเป็นส่วนหนึ่งในการมายืนยันความบริสุทธิ์ ให้กับบริษัทที่มีให้กับตนตลอดมา เพราะสุดท้ายแล้วคนที่ตัดสินใจคนสุดท้ายคือตัวเราเอง เราทำบนพื้นฐานความพร้อม อย่าไปทำทั้งที่ไม่พร้อม เพราะจะสร้างความเดือดร้อน”

พร้อมยอมรับอีกว่า ตนเคยทำถึงโปรโมชั่นประจำเดือนของบริษัท ได้ไปต่างประเทศตามที่บริษัทจัด และไปมาหลายประเทศ ล่าสุดไปลอนดอน วันที่ 23 ต.ค.กลับมา 28 ต.ค. ซึ่งปกติบริษัทจะจัดโปรโมชันล่วงหน้า แล้วรันคิวเที่ยวแล้วพัก 2-3 เดือน เพื่อให้ตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ถ้าไปก็จะขอวีซ่า 

ขณะที่ นายมอส พยานอีกหนึ่งคนที่ขายสินค้าของดิไอคอนแบบออนไลน์ บอกอีกว่า ตนเริ่มทำธุรกิจของดิไอคอนมา 3 ปี กว่า โดยเริ่มจากการลองกินใช้สินค้ามาก่อน ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ตนขายของออนไลน์มาก่อน แล้วหาสินค้าที่เข้ากับตัวเรา กินใช้แล้วโอเคจึงตัดสินใจขาย ตนขายมานานหลักปีแล้ว ก็มีลูกค้าที่ซื้อสินค้ากับตนตกใจ แล้วตนก็ไม่ได้ไปชักชวนอะไร แล้วถ้าตนกินแล้วไม่เห็นผลก็ไม่จ่ายอยู่แล้ว

ส่วนพอเป็นคดีความ ไม่ได้มีผลกับขายสินค้า เพราะตนใช้ตัวเองในการดูแลลูกค้า อาจจะแค่ตกใจกับกระแสข่าว พอได้พูดคุยอธิบายลูกค้าก็เข้าใจ และลูกค้าส่วนใหญ่มีสินค้าที่กินใช้อยู่ปกติ ลูกค้าก็มีตกใจเรื่องของ อย. ของสินค้า ซึ่งตนได้อัปเดตข้อมูล โยการนำไปเช็กในเว็บไซต์ของ อย.เพื่อไม่ให้ลูกค้ากังวล ซึ่งส่วนใหญ่ตกใจแต่ไม่ได้เลิกทาน

ส่วนตั้งแต่เป็นคดีความก็ปิดแอด เปลี่ยนมาเป็นการสื่อสารแบบไลฟ์สด เพราะใช้ตัวเองในการขายสินค้า ทั้งนี้ไม่ได้กังวลเรื่องสินค้า เพราะมีการตรวจสอบมาอย่างดี และยืนยันว่า สินค้าขายได้และตนก็ขายมานานแล้ว การเข้ามาทำธุรกิจดิไอคอนสามารถเลือกได้ว่า จะขายของหรือหาสมาชิก แต่เน้นการขายของเป็นแกนหลัก และส่วนตัวก็เน้นขายของ และยังไม่เคยหาสมาชิกมาเปิดบิล และตนก็จะเน้นอยากขายของและดูแลลูกค้าที่ซื้อสินค้ามากกว่า

ด้าน ทนายวิฑูรย์ บอกด้วยว่า วันนี้ได้พาพยานกว่า 20 คน ในฝั่งของบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป มาให้การในชั้นพนักงานสอบสวนของดีเอสไอ โดยมาให้การตามข้อเท็จจริง ซึ่งมีพยานที่ยืนยันตนแล้วประมาณพันกว่าคน แต่มีในรายชื่ออยู่ที่ 2,400 คน และมีการติดต่อประสานงานเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยตนเองมั่นใจในข้อเท็จริง และเชื่อว่าพยานจะให้การตามความเป็นจริง จึงไม่ได้หนักใจอะไร 

อีกทั้ง หลังจากนี้ ตนเองจะไปปรึกษากับดีเอสไอว่า สามารถขยายกำลังการสอบสวนได้มากเพียงใด รวมถึงจะสามารถส่งพนักงานสอบสวนไปสอบปากคำพยานในพื้นที่ต่างจังหวัด และต่างประเทศได้หรือไม่ หากทำได้ ตนก็มีแผนเดินสายพบปะพยานทั้งประเทศ เพื่อให้เข้าปากคำกับดีเอสไอในฐานะพยาน เบื้องต้น จากการประเมินมีตัวแทนกว่า 10,000 - 15,000 คน แต่จะสามารถดึงพยานเข้าให้ปากคำได้มากเท่าไหร่ตนเองยังไม่ทราบ 

ส่วนกังวลหรือไม่ว่า ดีเอสไอจะไม่รับฟังทุกปากนั้น ทนายมองว่า “ดีเอสไอท่านจะต้องรับฟัง เพราะงานจะหนักในช่วงนี้ เมื่อไปในชั้นอัยการ และชั้นศาล จะได้ง่ายลง ในชั้นศาล หากมีพยานประมาณหมื่นคนแถลงข้อเท็จจริงก็จะจบ ถ้าตัดเลยเอาแค่ 50 คน ผมก็ร้องเรียนขอความเป็นธรรม คดีก็ไม่ไปไหน อัยการก็ตีสำนวนกลับ จึงอยากให้เหนื่อยตอนนี้จบ ดีกว่าไปชั้นศาลแล้วผมเอาพยานหมื่นคนขึ้นมา ทั้งพยานประเด็นที่ไปสืบพยานต่างจังหวัด และพยานคอนเฟอเรนซ์ ก็จะมั่วซั่วอีรุงตุงนังไปหมด เพราะหมื่นกว่าคนไม่เคยมาให้ถ้อยคำ ก็ต้องสอบพยานทุกปาก ก็จะวุ่นวายและจะสร้างภาระให้อัยการและศาลโดยใช่เหตุ จึงต้องเอาให้จบที่ชั้นนี้”

ส่วนจะถึงขั้นฟ้อง 157 เลยหรือไม่นั้น มองว่า หากตัดพยานก็คงต้องร้องขอความเป็นธรรม ก่อนฟ้อง 157 แต่ก็เชื่อว่า ดีเอสไอก็ใจกว้างมากพอที่จะสอบปากคำทั้งหมด

ส่วนการที่ดีเอสไอเตรียมจะแจ้งข้อกล่าวหาแชร์ลูกโซ่นั้น ทนายวิฑูรย์ มองว่า ดีเอสไอควรจะรับฟังพยานหลักฐานของฝั่งเราบ้าง เพราะพยานที่มาในวันนี้ เป็นพยานที่ทำธุรกิจจริง และยังมีพยานอีกกลุ่ม คือ พยานโรงงานที่ผลิต ที่จะให้ถ้อยคำว่า ได้ส่งสินค้าให้บริษัทดิไอคอนกรุ๊ปจริง และอีกกลุ่มที่เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ ทางด้านธุรกิจ และกฎหมาย ซึ่งพยานกลุ่มผู้ใกล้ชิดเหตุการณ์และพยานผู้เชี่ยวชาญ เป็นพยานนอกเหนือจากสองพันกว่าคน ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานเข้ามาเป็นพยาน คาดว่าน่าจะได้ในช่วงภายในพฤศจิกายนนี้ รวมถึงขอให้กำหนดประเด็นพฤติการณ์ของผู้เสียหายแต่ละคน เพื่อให้ผู้ต้องหาสามารถเปิดระบบแล้วชี้แจงในแต่ละประเด็นได้ 

ส่วนกังวลหรือไม่ว่าจะเป็นการขยายเวลา เพื่อการกำจัดอิสรภาพของฝั่งผู้ต้องหานั้น ทนายวิฑูรย์ มองว่า “ฝั่งตนเองเสียหาย เพราะฝั่งผมโดนขังอยู่ แต่การต่อสู้คดี เราเสียหายในวันนี้ จะสบายในระยะยาวในการทำคดี ดีกว่าสบายวันนี้แล้วในชั้นศาลมีปัญหา”
ทนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของบอสพอลและบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป