svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

ที่แรก! เปิดใจพยานเท็จ “เอกสายไหม” ที่มาปฏิบัติการแฉ "ดิไอคอน" ลวงโลก

ที่นี่ที่แรก! เปิดใจพยานเท็จ “เอกสายไหม” ที่มาปฏิบัติการแฉ "ดิไอคอน" ลวงโลก เจ้าตัวยันไม่ใช่สายลับหลังบ้านดิไอคอน แล้วความจริงคืออะไร

29 ตุลาคม 2567 ที่ อาคารพิทักษ์สันติ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด นำพยานเท็จออกมาให้ข้อมูลธุรกิจ “ดิไอคอนกรุ๊ป” ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งมีการสอบปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไปบ้างแล้ว รวมถึงมีการตรวจสอบคำพูดต่างๆ ของนายเอกภพ และตัวพยานเท็จ ที่ทั้งหมดเคยให้สัมภาษณ์ว่า เป็นพยานสายลับอยู่หลังบ้านเครือข่าย “ดิไอคอน” ตามสื่อต่างๆ ก่อนหน้านี้ รวมไปถึงโพสต์ข้อความเกี่ยวข้อมูลการโยกย้ายเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี ในเพจเฟซบุ๊กของนายเอกภพ ที่ภายหลังมีการตรวจสอบแล้วว่า ไม่เป็นความจริง 

“การกระทำดังกล่าวสร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก ทั้งภาครัฐและผู้ที่ถูกพาดพิง ทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ต้องเสียเวลาหรือหยุดชะงัก ย้ำว่าการดำเนินการทุกอย่างควรต้องยึดหลักข้อเท็จจริง ไม่ใช่ปะติดปะต่อเรื่องราว หรือ คิดไปเอง ซึ่งในส่วนของการดำเนินการทางคดีหลังจากนี้ ทางพนักงานอยู่ระหว่างรอฝั่งทนายความของบอสพอล เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ 

ส่วนทางพยานบุคคลที่นายเอกภพ เคยพามาให้ปากคำ หากประสงค์จะแจ้งความดำเนินคดีกับนายเอกภพเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงแสดงความบริสุทธิ์ใจ ก็สามารถติดต่อเข้าพบพนักงานสอบสวนได้ตลอดเวลา” 
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.
 

ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวเนชั่นทีวี ได้โทรศัพท์ติดต่อไปยัง นายเอ และ นายบี (นามสมมุติ) สองพยานบุคคลที่นายเอกภพ เคยอ้างว่าเป็นสายลับหลังบ้านเครือข่ายดิไอคอน เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดย นายเอ เล่าว่า หลังจากที่มีการเปิดโปงการหลอกลงทุนธุรกิจเครือข่ายบริษัทดิไอคอนขึ้นมา พวกตนซึ่งมีอาชีพเป็นนักการตลาดออนไลน์ มีความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจการตลาดออนไลน์ จึงอยากนำข้อมูลการทำธุรกิจลักษณะนี้ของเครือข่ายอื่นๆ มาเผยแพร่เพื่อเป็นประโยชน์กับสังคม ได้ตระหนักถึงคุณและโทษของการลงทุนธุรกิจลักษณะนี้ จึงติดต่อไปที่เพจดังกล่าว แต่ทางเพจแจ้งกลับมาว่า จะเล่นงาน the icon เป็นบริษัทแรกก่อน โดยมีการ Video Call คุยกัน

หลังจากนั้นทางเพจก็ได้ให้พวกตนช่วยหาข้อมูลของ the icon ให้ก่อน เพราะกำลังเป็นกระแส เราจึงช่วยหาข้อมูลให้ ก่อนจะมีการนัดเจอวันที่ 14 ต.ค. ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เพื่อพูดคุยข้อมูลธุรกิจลักษณะดังกล่าว หลังจากนั้น วันที่ 15 ต.ค. ทางเพจก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อ และให้พวกตนมาพบที่กองปราบ โดยทางเพจได้ส่งรถตู้มารับ เมื่อถึงตนไม่ทราบว่า มีการแถลงข่าวอะไร แต่พอแถลงข่าวเสร็จก็มีการเอาหมวกกับแว่นดำมาให้สวม แล้วดึงตัวเข้าไปให้สัมภาษณ์สื่อโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าหรือบอกว่าให้ตอบอะไร 
นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด
 

ตนจึงตอบไปตามที่ได้รับฟังเมื่อคืนวันที่ 14 ต.ค. โดยไม่ได้เต็มใจจะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแบบนั้นแต่อย่างใด เหมือนถูกบังคับให้ยอมรับว่า เป็นพยานและอยู่เบื้องหลัง the icon รวมถึงต้องตอบคำถามสื่อโดยไม่ได้เต็มใจ ซึ่งหลังจากที่มีการให้สัมภาษณ์ออกสื่อไปนั้น วันที่ 16 ต.ค.  ดีเอสไอก็ได้ติดต่อให้ตนและเจ้าของเพจไปเข้าพบ เพื่อให้ข้อมูล ซึ่งตนก็ได้ให้ข้อมูลไปว่า เป็นเพียงนักการตลาดออนไลน์ ก่อนที่วันที่ 18 ต.ค. เจ้าของเพจดังกล่าว จะให้สัมภาษณ์สื่อเกี่ยวกับเรื่องคริปโตที่น่าสงสัยยอด 8 พันกว่าล้าน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นการสนทนากันในกลุ่มเฉยๆ และเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ที่ไม่ได้ระบุยืนยันถึงบุคคลหรือบริษัท the icon เนื่องจากยังคงต้องการการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ แต่เจ้าของเพจกลับนำไปโพสต์ข้อความลงในเพจ โดยที่พวกตนไม่ได้รับทราบหรือร่วมมือด้วย

จากนั้นวันที่ 19 ต.ค.  เจ้าของเพจดังกล่าว ก็พาพวกตนเข้าไปพบกับตำรวจ บช.สอท. เพื่อชี้แจงเรื่องคริปโต เมื่อไปถึงมีการสืบสวนทันทีถึง transaction ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อตำรวจเห็นว่า ไม่มีมูลเรื่องจึงถูกตีตกไป อย่างไรก็ตาม หลังให้ถ้อยคำกับตำรวจเสร็จ วันเดียวกันตนยังเห็นว่า เจ้าของเพจยังคงให้สัมภาษณ์กับสื่ออ้างว่า พวกตนเป็นพยานรู้เห็นเรื่องคริปโต ก่อนจะพาเตรียมไปให้การกับตำรวจ บก.ปคบ โดยมีการให้สัมภาษณ์กับสื่ออีกครั้งหน้า บก.ปคบ ถึงเรื่องคริปโต แต่สุดท้าย ตำรวจ บก.ปคบ. ไม่ได้อนุญาตให้ขึ้นไปข้างบน ทุกคนจึงแยกย้ายกลับ

ทั้งนี้พวกตนยืนยันว่า พวกตนไม่ใช่พยานหลังบ้านดิไอคอน ทุกอย่างทางเพจเป็นคนนำเสนอข้อมูลเองหมด พวกตนเป็นเพียงนักการตลาดออนไลน์ มีเจตนารมณ์ที่จะออกมาพูดเรื่องที่ประชาชน ไม่ควรตกเป็นเหยื่อคอร์สยิงแอดการตลาดขายของออนไลน์ เนื่องจากต้นทุนโฆษณาไม่สอดคล้องกับรายรับที่ได้ ไม่มีทางสำเร็จจริง

พร้อมยืนยันอีกด้วยว่า พวกตนไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท the icon ไม่ได้เป็นบุคลากร หรือรู้จักใครที่อยู่ในบริษัท the icon ในระดับแม่ทีมจนถึงบอส และผู้บริหาร แต่ยอมรับว่าเคยไปทริปเที่ยวกับทางบริษัท ซึ่งเป็นการชวนคนตามรูปแบบการตลาดที่ the icon จัดจริง
นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด

หลังเกิดเรื่องนี้ขึ้นมา พวกตนได้เข้าให้ถ้อยคำกับตำรวจ บก.ปปป. เรียบร้อยแล้ว เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง ทุกอย่างอยู่ในสำนวน โดยเล่าความจริงตามที่ปรากฎให้ฟังทั้งหมด ส่วนเรื่องข้อมูลคริปโต ก็เป็นการคุยกันในห้องแชท LINE กลุ่มแบบปิด เป็นเพียงข้อสันนิษฐานจากข้อมูลที่เป็นสาธารณะ ตามที่เจ้าของเพจเรียกร้องให้หาข้อมูลมา และสุดท้ายก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่า ข้อมูลนั้นจะไปสอดคล้องกับ the icon หรือไม่ เป็นเพียงข้อมูล transaction ที่ใหญ่ที่สุดในวันที่บอสทั้ง 18 คนโดนจับกุม แต่ทางเพจได้เอาไปโพสต์และเชื่อมโยงเรื่องราวเองทั้งหมด

พยานบุคคลกลุ่มนี้เล่าอีกด้วยว่า หลังเกิดเรื่องพยานเท็จขึ้นมา เจ้าของเพจดังกล่าว ได้โทรศัพท์ติดต่อมาหา พร้อมพยายามเกลี้ยกล่อมให้พวกตน พูดไปในทิศทางเดียวกับเขา หากตำรวจเรียกไปให้ปากคำชี้แจงเรื่องนี้ ซึ่งพวกตนก็ยืนยันไปว่า ได้ให้ข้อมูลตามข้อเท็จจริงไปหมดแล้ว 

พวกตนขอยืนยันว่า การที่พวกตนออกมา ไม่ได้ต้องการหิวแสง หรือ หาประโยชน์จากคดีดิไอคอน พวกเรามีหน้าที่การงานและมีรายได้ที่เลี้ยงตัวเองได้ จึงไม่จำเป็นต้องหิวแสงแต่อย่างใด การที่จะเข้าไปพบกับกองปราบ เป็นเพียงการที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจลักษณะนี้ เพราะอดีตเคยไปให้ข้อมูลกับตำรวจ ปคบ. เรื่องธุรกิจขายตรงเจ้าหนึ่ง ที่ใช้หลักการโกงแบบเดียวกัน หรือต้องการให้ความรู้เรื่องการทำการตลาดออนไลน์ว่า ไม่ควรเปิดบิลกับทุกๆ บริษัท เนื่องจากค่าโฆษณาไม่สอดคล้องกับรายได้ที่จะได้รับ หรือพูดสั้นๆ ว่าขาดทุน

สุดท้ายนี้ อยากฝากไปถึงตำรวจกับทนายความฝั่งบอสพอลว่า ทางเราก็โดนทางเพจหลอกและบิดเบือนว่า เป็นหลังบ้าน เป็นสายลับ เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน เป็นผู้เชี่ยวชาญทางคริปโต ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด แต่หากได้ฟังข้อมูลที่เราชี้แจงแล้ว ยังประสงค์จะดำเนินคดี พวกเราก็เคารพการตัดสินใจ ส่วนหากทางตำรวจประสงค์ต้องการให้พวกตนแจ้งความกลับไปที่เจ้าของเพจ พวกตนก็พร้อมจะดำเนินการ