จากกรณี "ทนายตั้ม" นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โพสต์ข้อความลง เฟซบุ๊กเพจ "ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ" ระบุว่า "พี่สนธิลงข่าวว่าผมฉ้อโกงเงิน 71 ล้าน พนันกันไหมใครหน้าแหก ดื่มเยี่ยว 71 แก้ว" ต่อมา "สนธิ" นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ Sondhitalk รับคำท้า "ทนายตั้ม" พรุ่งนี้(25 ต.ค.67)จัดข้อมูลชุดใหญ่ขยี้ คดีฉ้อโกง 71 ล้าน
25 ตุลาคม 2567 ล่าสุดเมื่อเวลา 09.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ Sondhitalk กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่าในรายการตามสัญญา ว่า
เรื่องคดีฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท ตนไม่ใช่คู่กรณีกับทนายตั้ม แต่ทนายตั้มร้อนตัวไปออกรายการหนึ่ง ตนจึงคิดว่ามันไม่ยุติธรรมตรงที่ว่าทนายตั้มพูดอะไรไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และละลานมาถึงตนหลายประเด็น ตนจึงจำเป็นต้องเอาเรื่องนี้มาพูดวันนี้ เพื่อป้องกันตัวเอง และกระชากหน้ากากทนายแบรนด์เนม ทนาย 888
เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา นายษิทราก้าวร้าว และลุกขึ้นเข้ามาหาเรื่องตนอย่างไม่มีเหตุผล เรื่องของเรื่องมีข่าวว่านายษิทราถูกเจ้าทุกข์แจ้งความดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกงเงิน ไม่ยอมคืนเงิน 71 ล้านบาทที่เอาไป เมื่อทวงคืนแล้วก็ไม่ยอมจ่าย
จนกระทั่งเจ้าทุกข์ที่มีภูมิลำเนาอยู่ประเทศฝรั่งเศส แต่เป็นคนปากช่องแต่งตั้งทนายแจ้งความเอาผิดกับนายษิทรา ที่สภ.ปากช่อง จ.นคราชสีมา และมีการสืบพยาน ตรวจสอบพยาน ฟังคำให้การของพยาน และหลักฐานทั้งหมด
ซึ่งนายษิทราอ้างว่ากำลังจะเดินทางไปปากช่อง เพื่อแก้ข้อกล่าวหาและตามสไตล์ของนักกฎหมายทั่วไป ก็จะฟ้องกลับหมดว่าแจ้งความเท็จ ซึ่งเป็นเรื่องทางกฎหมายก็ต้องว่ากันไป
เรื่องนี้ทางทนายความที่ปากช่อง เผอิญรู้กับรู้จักกับคนๆ หนึ่งที่ปากช่อง ก็เล่าเรื่องนี้ให้คนนี้ฟัง พอเห็นเป็นชื่อทนายษิทธา ก็เลยพาทนายคนนี้มาพบตนที่บ้านพระอาทิตย์ ที่นายษิทธาบอกว่าทั้งหมดวางแผนที่บ้านพระอาทิตย์นั้นไม่ใช่ แต่เป็นสนธิ ลิ้มทองกุล
คุณไร้มารยาทกับผม ต่อหน้าคุณก็เรียกว่าพี่สนธิ แต่ลับหลังคุณโกรธผม ไปเขียนแคปชั่นว่าไอ้ลิ้ม ไอ้เจ็กลิ้ม แม้จะลบไปแล้ว ผมก็แคปไว้ได้
เมื่อทนายคนนี้มา เขาก็เล่าเรื่องราวให้ผมฟังหมดแล้ว และมีหลักฐานเอามาให้ดูด้วย ผมก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เรื่องใหญ่ที่สำคัญ เพราะมีเงินเกี่ยวข้องตั้ง 71 ล้านบาท และเป็นการโอนเงินของสุภาพสตรีคนหนึ่งที่อยู่ที่ฝรั่งเศส เอามาให้นายษิทธา เพื่อลงทุน หาใช้การโอนมาด้วยเสน่หาไม่ เพราะนี่คือการคำให้การของตัวเจ้าทุกข์ ซึ่งมีหลักฐานการร่วมลงทุน
โจทก์ที่ฟ้องทนายตั้มชื่อ คุณจตุพร เป็นคนปากช่อง ซึ่งตนต้องการพบกับคุณจตุพรด้วยตัวเอง เพื่อรับทราบจากปากเขา และอัดเทปเขาเอาไว้ โดยคุณจตุพรเดินทางจากฝรั่งเศสมาที่ประเทศไทย เพราะหนึ่งปี คุณจตุพรเดินทางมาประเทศไทย 3-4 ครั้ง เพื่อมอบเงินสนับสนุนโรงเรียนที่ปากช่องทุกปี ปีละหลาย 10 ล้านบาท
จากนั้นตนได้นั่งคุยกับคุณจตุพร โดยมีทีมงานอาวุโสของตน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในวงการข่าว และสามารถซักถามได้อย่างละเอียดว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ถ้าผ่านกลุ่มคนพวกนี้ไปได้ ข้อมูลค่อนข้างที่จะแม่นยำ
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 21 ต.ค.67 ที่ผ่านมา ทนายตั้มโทรศัพท์มาหาตน เพื่อขอเข้าพบในวันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา แต่ตนกำลังยุ่ง เพราะเป็นเดือนที่ตนต้องเป็นประธานกฐินหลายแห่ง และต้องเตรียมงานหลายหลายอย่าง
จึงบอกว่าเอาไว้พร้อมเมื่อไหร่จะแจ้งให้ทราบ เขาก็รับปาก แต่วันที่ 23 ต.ค. ทนายตั้มก็ไปออกรายการโหนกระแส พูดถึงว่าที่มาของความร่ำรวยได้อย่างไร ทั้งๆมีคนสงสัยว่าที่ค่าทนายก็ไม่ได้มาก โดยเจ้าตัวบอกว่ามีปี 2566 ได้กำไร 21 ล้านบาท
แต่จากการตรวจสอบพบว่า ปีที่แล้วบริษัทของทนายตั้มขาดทุนไป 5 ล้านบาท ถ้าคุณมีรายได้ 20 ล้านบาทคุณต้องมีกำไร แต่คุณทะลึ่งมาเหยียบเส้นล้ำเส้นตน
ทนายตั้มพูดว่าบอกว่าลูกความเป็นมหาเศรษฐีอยู่ต่างประเทศ จริงๆ ก็คือโจทย์ที่เป็นสาวปากช่องคนอีสานอยู่ที่ฝรั่งเศส ซึ่งเคยออกรายการระบุว่า มีนักธุรกิจหญิงให้เงินเดือนๆ ละ 300,000 บาท เพื่อแลกกับการช่วยทำคดี และดูแลธุรกิจที่ฝรั่งเศสให้ แต่ที่ผ่านมาพบว่า ทนายตั้มไม่ได้นำ เงินเดือนๆ ละ 300,000 บาทดังกล่าว เข้าบริษัทฯของเขา ตนเคยอยู่ในแวดวงการเงินมาก่อนเป็นสื่อมวลชน และไม่เคยพบว่าการโอนเงินจากต่างประเทศจะต้องเสียภาษี
คุณโกหกที่บอกว่าการโอนเงินต้องเสียภาษี ถามนายแบงค์ทั่วประเทศไทยก็ได้ หรือคนทำธุรกิจ ไม่มีหรอกที่จะเสียภาษี 40% ให้กับประเทศ มีแต่เสียภาษีเงินได้จากเงินที่คุณได้ มาแล้วถามว่า 70 กว่าล้านบาท ที่คุณได้มาคุณได้เสียภาษีหรือไม่
ซึ่งคุณไม่ได้เสียภาษีแน่นอน คุณหนีภาษีแล้ว คุณยังมาลอยหน้าลอยตาบอกว่าเป็นทนายเพื่อประชาชน แต่คุณหนีภาษี ถ้าคุณบอกคุณเสียภาษีให้กับเงิน 70 ล้านบาท เอาหลักฐานมาดูหน่อย ผมจะกราบตีนคุณเลย เพราะนี่นี่คือคำโกหก แล้วคุณคุยเวอร์ตลอดเวลา
ตนฟังแค่นี้ก็รู้แล้วว่าโกหก ถามว่าเงิน 70 กว่าล้านบาท ที่ได้มาได้เสียภาษีเงินได้หรือไม่ ได้แจ้งสรรพากรหรือไม่ คุณไม่ได้แจ้ง ซึ่งตนมีหลักฐานใบโอนเงิน 2 ล้านยูโร ซึ่งเท่ากับ 71 ล้านบาท ที่นายษิทธาอ้างว่า มีการให้โดยเสน่หานั้นจริงหรือไม่ เพราะถามใครก็ไม่มีใครเชื่อคำพูดของนายษิทธา
อีกทั้งตนมั่นใจว่า นายษิทราไม่ได้จ่ายแน่นอน ถามว่าอธิบดีกรมสรรพากรว่าไม่สนใจเรื่องนี้เลยเหรอ เมื่อพอมีหลักฐานว่านายษิทธารับเงินมาแล้ว 71 ล้านบาท อ้างว่าได้มาด้วยเสน่หา ดังนั้นต้องจ่ายภาษี ถ้าเดาไม่ผิดต้องจ่าย 35% นี่คือการทำผิดกฎหมายของนายษิทธา ตนจะทำหนังสือร้องเรียนไปที่กรมสรรพากร และนำหลักฐานที่ที่คุณพูดมา
อย่างไรก็ตามจากที่คุณอ้อยให้ปากคำถึงพฤติกรรมของทนายตั้ม โดยให้การว่าคุณอ้อยได้ว่าจ้างบริษัทของทนายตั้ม เป็นที่ปรึกษากฎหมายดูแลผลประโยชน์ทางธุรกิจโดยทำสัญญาว่าจะจ่ายเงินเดือนๆละ 300,000 บาท ซึ่งไม่ได้จ่ายผ่านบริษัทฯ แต่จ่ายผ่านบุคคล ซึ่งเป็นเทคนิคการเลี่ยงภาษีของคุณหรือไม่
หลังจากว่าจ้างแล้วก็ไปมาหาสู่ดูแลกันฉันมิตรจนเกิดความไว้วางใจ และเชื่อใจ ดูแลการท่องเที่ยวทนายตั้มและครอบครัวหลายครั้ง และทนายตั้มเคยพาผู้เสียหายไปเจอนักการเมืองระดับประเทศที่เกาะฮ่องกง แล้วบอกว่าสามารถเอาโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาลมาลงทุนเพื่อแสวงกำไรได้ รวมถึงสัมปทานกับหน่วยงานราชการอื่นๆ โดยนายษิทธาอ้างว่ารู้จักกับผู้ใหญ่ หรือนักการเมืองหลายคน
ต่อมาเมื่อปลาย 65 ต่อเนื่องต้นปี 66 นายษิทธาบอกกับผู้เสียหายว่าได้รับโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาลมาจากผู้ใหญ่ที่นับถือ ให้จำหน่ายทางออนไลน์
โดยทนายตั้มบอกว่าสามารถทำได้ แต่ยังไม่มีเงินลงทุนก็เลยมาปรึกษากับผู้เสียหายคือคุณอ้อยว่า หากทำธุรกิจนี้จะทำให้เขาสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้
ตนทั้งข้อสังเกตว่า ถ้าเราไล่ไทม์ไลน์เรื่องนี้จะเห็นว่าช่วงปลายปี 65 ต่อเนื่องต้นปี 66 เป็นช่วงเวลาที่แพลตฟอร์มขายสลากออนไลน์อื่นๆตกเป็นข่าวเรื่องฟอกเงินธุรกิจสีเทา และมีความเสี่ยงจะถูกปิด
ต่อมาพี่อ้อยเห็นว่าการขายสลากออนไลน์เป็นโอกาสก็เลยซักถามวิธีการขอทราบรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม ทนายตั้มจึงบอกว่าหากจะทำก็ต้องมีแอปพลิเคชัน และรายละเอียดอื่นๆ เช่น โปรแกรมระบบผู้พัฒนาระบบเว็บไซต์ หลังจากที่พี่อ้อยปรึกษาครอบครัวแล้วเห็นว่าโครงการดังกล่าวน่าจะไปได้
ขณะเดียวกันก็เป็นความตั้งใจของพี่อ้อยที่จะลงทุนอะไรบางอย่างให้กับลูกชายที่จะย้ายมาอยู่ประเทศไทยแล้ว จึงตกลงทำการขายสลากออนไลน์ และให้ทนายตั้มไปติดต่อว่าจ้างโปรแกรมเมอร์ให้มาทำรายละเอียดเป็นรายลักษณ์อักษร
ทนายตั้มก็ตอบตกลง ต่อมาได้มีการนำใบเสนอราคามาให้ผู้เสียหายลงนามแล้วพี่อ้อยลงนามใบสัญญาเรียบร้อย ทนายตั้มก็บอกว่าจะดำเนินการตามสัญญา
ต่อมาวันที่ 16 ก.พ.66 พี่อ้อยกับทนายตั้มได้เดินทางไปที่ธนาคารแห่งหนึ่ง สาขาปากช่อง โอนเงินมาให้ทนายตั้ม 71 ล้านบาท ที่ทนายตั้มบอกว่าจะนำเงินไปชำระคู่สัญญาด้วยตัวเอง คือผู้เขียนแพลตฟอร์มและโปรแกรมหวยออนไลน์ แต่เมื่อกลับกรุงเทพฯ ทนายตั้มได้ถอนเงินดังกล่าวจนเกลี้ยงบัญชี ซึ่งเป็นที่น่าสงสัยว่าเงินจำนวนนี้หรือไม่ที่คุณไปซื้อบ้านหรู 46 ล้านบาทด้วยเงินสดชื่อของภรรยา
ต่อมาภายหลังผู้เสียหายได้ติดตามความคืบหน้าการซื้อโปรแกรมสลากออนไลน์จากทนายตั้มเรื่อยมา แต่ได้รับคำตอบว่ายังทำไม่เสร็จ จึงเป็นสาเหตุให้วันที่ 25 ม.ค.67 ผู้เสียหายได้ยกเลิกสัญญาจ้างบริษัทของทนายตั้มฯ เป็นที่ปรึกษา และมีหนังสือบอกเลิกสัญญาชัดเจน
จนกระทั่งวันที่ 1 ก.ย.67 ครบกำหนดส่งมอบงานตามสัญญา ผู้เสียหายยังไม่ได้ตอบรับได้รับมอบโปรแกรม ทำให้ผู้เสียมอบอำนาจให้ทนายติดตามเงินคืน 71 ล้านบาท ในวันที่ 8 ก.ย. 67 หลังจากทนายตั้มได้รับหนังสือทวงหนี้ แต่ไม่ได้ติดต่อกลับมา
จากนั้นวันที่ 19 ก.ย.67 ผู้เสียหายมอบอำนาจให้ทนายความเข้าทุกเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีตามกฎหมายกับทนายตั้ม
เรื่องพวกนี้เก็บอยู่ในตัวผมมาตลอด จนกระทั่งคุณมาท้าทายผม ถามว่านี่หรือคือการมอบเงินโดยเสน่หาหรือไม่ ที่ผมเล่ามาไม่มีตรงไหนเลยที่เสน่หา แต่เป็นการนำเงินเข้ามาเพื่อลงทุน
โดยถามว่าตามตรรกะ ใครจะให้เงินมากมายโดยไม่หวังผลตอบแทน ถามว่าทำไมคุณอ้อยต้องให้เงินคุณมากมายขนาดนั้น ทั้งๆที่เขามีลูกมากมาย
คุณอ้อยเขาผ่านวงการธุรกิจมานาน เขาถึงรู้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล จึงยกเลิกสัญญาเงิน 2 ล้านยูโร เขาต้องถอนเงินขายหุ้น ขายหลักทรัพย์ ทำเรื่องผ่านธนาคารตรวจสอบเอกสารต่างๆ มากมายว่าเขาไม่ได้ฟอกเงิน เพราะเขาต้องแจ้งจุดประสงค์ในการโอนเงิน
ก่อนที่เขาจะโอนเงินเข้ามาในประเทศไทย ที่ผ่านมาเขาเมตตาคุณมาก ให้เงินคุณไปมากมาย ค่าทนายเดือนละ 300,000 บาท แต่คุณไม่นำเข้าบริษัทฯ ส่งเข้าส่วนบุคคล รวมกันแล้วหลายล้านบาท
คุณเป็นทนายคุณเรียนกฎหมาย คุณก็รู้ว่าเรื่องแบบนี้ถ้าขึ้นถึงศาลแล้วคุณพิสูจน์ไม่ได้ แต่ฝ่ายตรงข้ามเขาพิสูจน์ได้ สัญญาจ้างทำโครงการเขาก็มี คุณก็รู้ คนที่เกี่ยวข้องก็เยอะแยะ พยานก็เต็มไปหมด แม้แต่เอกสารต่างๆ ที่จุดประสงค์นำเงินเข้ามาในราชอาณาจักร และธนาคารก็มีวัตถุประสงค์คืออะไรแล้ว
คุณจะหน้าด้านอ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หาแบบนี้ไปอีกกี่น้ำ นี่คือความจริงที่มีหนึ่งเดียว ผมรู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่เห็นว่าน่าจะให้ดำเนินการต่อไปตามวงล้อกระบวนการยุติธรรมสักพัก
ผมในฐานะที่เป็นสื่อมวลชน ไม่ได้เป็นคู่กรณีของนายษิทธา แต่คุณเป็นคู่กรณีกับคุณจตุพรแต่คุณบอกว่าผมวางแผนวางโครงเรื่อง
ษิทธาคนเด็กเมื่อวานซืนอายุแค่ 40 คุณอายุน้อยกว่าลูกชายผมอีก ผมอายุมากกว่าคุณ 25 ปี สิ่งต่างๆผ่านมาในชีวิตผม คุณไม่เทียบเท่าอุจจาระเท้าผม คุณอย่ามาทะลึ่งกับผม คุณอย่าลืมว่า คุณมีภาษีที่คุณต้องจ่าย 71 ล้านบาท แขวนคอคุณอยู่ เพราะหลักฐานมีอยู่แล้ว
ต่อมา "ทนายตั้ม" โพสต์เฟสบุ๊ก ระบุว่า "ผมชัดเจนในทุกการกระทำ ทุกคำพูด และผมมั่นใจว่าศึกนี้ ผมไม่ได้ดื่มเยี่ยว 71 แก้วแน่นอน"
"ทนายอั๋น บุรีรัมย์" ยื่นหนังสือต่อ ผกก.สภ.ปากช่อง ให้โอนคดีปม "ทนายตั้ม" กับ "เงิน 71 ล้านบาท" ให้ตำรวจสอบสวนกลางทำคดี เพราะเป็นคดีใหญ่
ล่าสุดวันที่ "ทนายอั๋น บุรีรัมย์" นายภัทรพงศ์ ศุภักษร ทนายความกลุ่ม คนรุ่นใหม่ประชาธิปไตยบริสุทธิ์ ได้เดินทางมาที่ สภ. ปากช่อง เพื่อยื่นหนังสือให้กับ พ.ต.อ.วีระพล ระเบียบโพธิ์ ผกก.สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ขอให้ทาง สภ. ปากช่อง โอนคดีทนายตั๊ม ถูกแจ้งความ ให้ตำรวจสอบสวนกลาง สอบสวนต่อ
โดย ทนายอั๋น เผยว่า วันนี้มายื่หนังสือถึง พ.ต.อ.วีระพล ระเบียบโพธิ์ ผกก.สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ให้โอนคดีทนายตั๊ม ปมเงิน 71 ล้านบาท ที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีนั้น ไปให้ตำรวจสอบสวนกลางทำคดีแทน เพราะเห็นเป็นคดีใหญ่
อีกทั้งตำรวจสอบสวนกลางมีบุคลากรมาก รวมทั้งเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย เพราะจะได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของทนายตั๊ม อีกทั้งจะได้ขยายผลได้อีกหลาย ๆ เรื่อง เพราะเป็นการโอนเงินข้ามชาติ ยังไม่มีการเสียภาษีเลย หรืออาจจะเป็นการฟอกเงินหรือไหม
จากนั้น พ.ต.อ.วีระพล ระเบียบโพธิ์ ผกก.สภ.ปากช่อง ได้ลงมารับหนังสือพร้อมเผยว่า คดีนี้ผู้เสียหายได้มอบอำนาจให้ทนายความเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ "นายษิทรา" ในข้อหา "ฉ้อโกงเงิน 2 ล้านยูโร ซึ่งเป็นเงินไทยก็ประมาณ 71 ล้านบาท" เบื้องต้นสอบพยานไปแล้ว 3 ปาก
ล่าสุดทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สั่งให้โอนคดีนี้ให้ตำรวจสอบสวนกลาง สอบสวนต่อไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว(24 ต.ค.67) โดยมี ตำรวจสอบสวนกลางมารับสำนวนคดีทั้งหมดไปให้ แล้วเมื่อช่วงสายวันนี้(25 ต.ค.67)
ข้อมูลและภาพจากรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ"
ดูคลิป