29 สิงหาคม 2567 เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง ถนนเรียบรางรถไฟ นายสุเวช จอมพงค์ อัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 นำสำนวนที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด กับพวกประกอบด้วย
พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข , พ.ต.อ.วิรดล ทับทิมดี , นายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม, นายธนิต บัวเขียว , นายชูชัย หรือพิชัย เลิศพงศ์อดิศร, รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม รวม 8 คน มายื่นฟ้องต่อศาลในคดีเปลี่ยนเเปลงความเร็ว จนเป็นเหตุกลับคำสั่งไม่ฟ้อง คดีนายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ที่ขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ เสียชีวิต เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 55 โดยในวันนี้จำเลยทยอยเดินทางมาศาลพร้อมทนายความ
ภายหลังศาลพิจารณาคําฟ้องของพนักงานอัยการ ที่ได้ยื่นพยานหลักฐานเอกสารต่างๆ จํานวน 9 ลัง 30 แฟ้ม มีคำสั่งประทับรับฟ้องคดีดังกล่าว และนัดสอบคําให้การในวันที่ 10 กันยายน 2567 เวลา 09.30 น. ที่ ขณะที่ผู้ต้องหา 8 คน ได้ยื่นขอประกันตัวในชั้นศาล โดยใช้หลักทรัพย์ 200,000 บาท ซึ่งศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยมีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นได้รับอนุญาตจากศาล
นายสุเวช จอมพงค์ อัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 กล่าวว่า สำนวนที่อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ กับพวกรวม 8 คนมายื่นฟ้องต่อศาล ข้อหาหนักที่ฟ้องคือ ความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 โดยวันนี้ไม่ได้มีการคัดค้านการปล่อยชั่วคราว เพราะทุกคนก็มีที่อยู่เป็นหลักเเหล่ง
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 8 คน ถูกดำเนินคดีในข้อหาที่แตกต่างกัน ส่วนแรกคือการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับการ เปลี่ยนแปลงความเร็วรถ อีกส่วนคือการดำเนินคดีกับอดีตรองอัยการสูงสุด ในเรื่องการสั่งคดี และผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเป็นพยานของคดีนี้ ซึ่งคดีดังกล่าว ป.ป.ช. มีมติส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด หากอัยการสูงสุดเห็นด้วยและมีคำสั่งฟ้อง อัยการสูงสุดก็จะเป็นโจทก์ฟ้องเอง
เมื่อถามว่า อัยการมั่นใจในพยานหลักฐานที่ยื่นฟ้องมากเพียงใด นายสุเวช กล่าวว่า ยืนยันได้ตามพยานหลักฐานที่ ป.ป.ช.ส่งมาให้ และอัยการสูงสุดตรวจแล้วว่า พยานหลักฐานสมบูรณ์เพียงพอแล้ว ส่วนศาลท่านจะมองอย่างไร ก็เป็นดุลยพินิจที่จะต้องมาพิจารณากัน
เมื่อถามว่า หากคดีนี้ศาลพิพากษายกฟ้อง จะดำเนินการอย่างไร นายสุเวช กล่าวว่า เป็นอำนาจของอัยการสูงสุดที่จะพิจารณาว่า ที่ศาลยกฟ้องชอบด้วยเหตุผลหรือไม่ และมีประเด็นใดที่ขาดตกบกพร่อง จะต้องให้ศาลวินิจฉัยอีก โดยเป็นดุลยพินิจของอัยการสูงสุดว่า จะต้องอุทธรณ์คดีหรือไม่
ด้าน พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า วันนี้ตัวเองได้มอบหมายให้ทนายความดำเนินการตามขั้นตอน เมื่อถามว่ามั่นใจในพยานหลักฐาน ที่นำมาก่อนหน้านี้ไหม ที่ผ่านมาพยายามทำดีที่สุดแล้ว ยอมรับว่ากังวล และไม่สบายใจ สำหรับทุกคนที่มีเรื่องต้องต่อสู้ในชั้นศาลเพื่อพิสูจน์ความจริง ในการต่อสู้คดีเพราะ ทุกคนหากเมื่อถูกดำเนินคดี ก็เป็นเรื่องปกติ ที่จะต้องมีความกังวล แต่ทุกอย่าง ก็จะต้องพิสูจน์ ในชั้นศาล ส่วนหลักฐานที่ต่อสู้กันมาในชั้นสอบสวน ตนไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียด
"ชัยณรงค์" เตรียมฟ้องกลับกราวรูด
ด้าน นายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม อดีตอัยการอาวุโส 1 ในจำเลย เปิดเผยภายว่า คดีนี้ตนรู้สึกอึดอัดใจและเสียใจมาก เพราะไม่ใช่ผู้กระทําความผิด แต่ถูกคณะกรรมการชุดต่างๆ ทั้ง ป.ป.ช. อัยการสูงสุด ที่ไม่ให้ความเป็นธรรมและกีดกั้นเพื่อพิสูจน์ความจริง จนมาวันนี้รู้สึกดีใจ เพราะศาลยุติธรรมจะเป็นที่เพิ่งสุดท้าย โดยตนจะนําพยานหลักฐานทั้งหมด ที่ได้จากการฟ้องอดีตประธาน ก.อ.ในคดีหมิ่นประมาทฯ
ซึ่งตอนนี้ตนได้รวบรวมพยานหลักฐานจนพบว่า มีการตัดต่อเทปจาก 1 ใน 8 ผู้ต้องหา ทําให้ ป.ป.ช. อัยการ และอัยการสูงสุด นําหลักฐานดังกล่าวมาเอาผิดตนเอง ซึ่งตนได้มีการแจ้งความเอาผิดใน 7 คดี มีผู้ต้องหาหลายหน่วยงานเป็นทุกคนที่เกี่ยวข้องทั้งอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งยื่นฟ้องนายตํารวจที่ตัดต่อเทปไว้ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้แล้วอยู่ระหว่างไต่สวนมูลฟ้อง
อย่างไรก็ตาม นายชัยณรงค์ ยอมรับว่า ตนได้เข้าไปช่วยให้คําปรึกษาคดี “บอส อยู่วิทยา” เนื่องจากเป็นเพื่อนของหลานสาว โดนยืนยันว่า ตนไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่สลึงเดียว ได้เพียงนํ้าใจเท่านั้น
“ขาหนึ่งเป็นอัยการ อีกขาเป็นเพื่อนมนุษย์ เมื่อเพื่อนเดือดร้อนตนจะเข้าไปช่วยไม่ได้เลยหรืออย่างไร ก่อนจะช่วยตนได้ศึกษาข้อกฎหมายมาอย่างดี อีกทั้งตนเป็นอัยการมานานกว่า 30 ปี การเข้ามาช่วยให้คําปรึกษาสามารถทําได้ เพราะตนไม่มีอํานาจในการพิจารณาคดีของบอส”
ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมในจริยธรรมของข้าราชการ ในกระบวนการยุติธรรมนั้น นายชัยณรงค์ กล่าวด้วยนํ้าเสียงจริงจังว่า ”สังคมจอมปลอม“ พร้อมยกตัวอย่างเรื่องของตัวเองว่า เหตุใดจึงไม่มีใครให้ความเป็นธรรม ในเรื่องที่ถูกปลอมแปลงเทป ซึ่งตนเตรียมที่จะเปิดเทปตัวเต็มในวันที่ 23 ก.ย. นี้ หลังศาลไต่สวนมูลฟ้องคดีนายตํารวจตัดต่อเทป ครั้งที่ 4 เสร็จ ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้