17 มิถุนายน 2567 ที่ จ.สงขลา พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วย พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผู้บังคับการตำรวจน้ำ และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ได้แถลงการ ติดตามจับกุมผู้ต้องหา พร้อมเรือขนน้ำมันเถื่อน 3 ลำ ที่หายไปจากท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบว่า หลังจากเรือขนน้ำมันเถื่อนของกลาง 3 ลำพร้อมลูกเรือ 15 คน หายไปเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่ผ่านมา ก็ได้สืบสวนจนทราบว่า เรือทั้งหมดถูกนำไปจอดที่ประเทศกัมพูชา เพื่อหลบซ่อน และขายน้ำมันของกลางทั้งหมดที่ประเทศกัมพูชา
ส่วนลูกเรือทั้ง 15 คนก็ได้มีการผลัดเปลี่ยนกันขึ้นฝั่งไปพักผ่อน และบางส่วนเฝ้าเรือ โดยระหว่างนี้ได้เปลี่ยนสีเรือซีฮอต ที่เก๋งเรือ พื้นเรือ จากสีแดง เป็นสีเขียว เพื่อเลี่ยงการตรวจจับ นำเรือไปใช้ใหม่ ส่วนอีก 2 ลำ กำลังจะเปลี่ยน รูปพรรณเรือเช่นกัน แต่ยังไม่ทันดำเนินการก็ไหวตัวทันว่า เจ้าหน้าที่พบแหล่งกบดาน จึงได้นำเรือออกทะเลอย่างเร่งรีบ ทำให้ลูกเรือบางส่วนอยู่บนเรือเพียง 8 คน จากทั้งหมด 15 คน โดยจับได้บนเรือเจพี 4 คน เรือดาวรุ่ง 1 คน และเรือกำไลเงินหรือซีฮอต 3 คน
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และเครือข่ายเรือประมง เพื่อให้ค้นหาเรือทั้ง 3 ลำ ที่ลอยอยู่กลางทะเล จนเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ที่ผ่านมา ช่วง 06.00 น. เรือประมงเครือข่าย พบเรือของกลาง ทั้ง 3 ลำ ลอยกลางทะเล พื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zone - EEZ) ห่างจากฝั่งสงขลา 90 ไมล์ทะเล จึงได้ส่งเรือตรวจการณ์ 3 ลำ ไปตรวจสอบ จึงพบว่า เป็นเรือของกลางจริง มีคนเรือที่มีตำหนิรูปพรรณตรงกับผู้ต้องหา จึงได้แสดงตัวเข้าจับกุมและตรวจยึดเรือ
โดยพบว่า ในจำนวนนี้หนึ่งลำ คือ เรือดาวรุ่ง พังเสียหายเดินเครื่องไม่ได้ มีการลากจูงอยู่กลางทะเล เบื้องต้น กำลังนำเรือทั้ง 3 ลำ กลับเข้าฝั่งที่ถ้าเทียบเรือกองกองกำกับการเจ็ด กองบังคับการตำรวจน้ำจังหวัดสงขลา ซึ่งสามารถเดินเรือได้เพียง 5 น็อต จึงทำให้ล่าช้าและคาดว่า เรือทั้งสามลำพร้อมผู้ต้องหาจะเข้าฝั่งได้ในช่วงค่ำวันนี้ ก่อนจะควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งแปดคน มาสอบปากคำและทำบันทึกจับกุม ก่อนส่งตัวเข้าไปสอบสวนขยายผลที่กองบังคับการปราบปราม ด้วยเครื่องบิน ในวันพรุ่งนี้ (18 มิ.ย.)
ทั้งนี้มีรายงานว่า เวลา 19.40 น. เรือทั้ง 3 ลำ ได้เข้าเทียบท่าที่ ที่ท่าเรือตำรวจน้ำสงขลา โดยเมื่อมาถึงเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงไปตรวจสอบเรือของกลางทั้ง 3 ลำ ซึ่งเท่าที่สังเกตเบื้องต้นจะเห็นได้ว่า เรือลำแรกคือกำไรเงิน มีลูกเรือนั่งอยู่ 3 คนส่วนเรือลำที่สองเจพี 3 คน และสุดท้ายคือดาวรุ่ง 2 คนรวมเป็น 8 คน ขณะที่ปริมาณน้ำมันที่สังคมตั้งข้อสังเกตว่า จะยังคงหลงเหลืออีกหรือไม่นั่น เจ้าหน้าที่ได้ใช้อุปกรณ์ ผูกติดกับท่อพีวีซีความยาวประมาณ 4 เมตร เพื่อตรวจสอบถังน้ำมัน
ซึ่งก็ปรากฏว่า แทบจะหย่อนท่อลงไปสุดซึ่งแสดงว่า แทบไม่เหลือน้ำมันอยู่บนเรือ ซึ่งสอดคล้องกับทางรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ระบุว่า น้ำมันส่วนใหญ่ถูกจำหน่ายไปตั้งแต่ที่เรือเข้าจอดเทียบท่าที่กัมพูชา โดยเรือ 3 ลำ มีมูลค่ามากกว่า 30 ล้านบาท ขณะที่น้ำมันเถื่อนที่อยู่ในเรือทั้ง 3 ลำ ประมาณ 330,000 ลิตรนั้น หากเทียบเคียงกับมูลค่าแล้วอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน มีการตั้งข้อสังเกตว่า การที่ลูกเรือตัดสินใจนำเรือหลบหนีไปยังประเทศกัมพูชานั้น ได้รับคำสั่งจาก “เสี่ยโจ้” บุคลลที่เจ้าหน้าที่เชื่อว่า มีส่วนเกี่ยวข้องและอยู่เบื้องหลังในคดีนี้ และตัวของ “เสี่ยโจ้”ก็น่าจะหลบหนีอยู่ที่ประเทศกัมพูชาด้วย ซึ่งรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ก็ไม่ได้ปฏิเสธและบอกว่ามีความเป็นไปได้สูง กับสมมุติฐานดังกล่าว