11 พฤษภาคม 2566 ความคืบหน้าคดี "แอม ไซยาไนด์" หลังจากพยานใหม่เข้าให้ปากคำกับพลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. และพนักงานสอบสวน นานกว่า 4 ชั่วโมง มูลนิธิวินวิน ก็ได้พาตัวพยานคนนี้ไปที่ตำรวจภูธรภาค7 เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมกับชุดคลี่คลายคดี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
โดยพยานคนนี้ เปิดเผยว่า ในช่วงที่มีการส่งพัสดุกล่องนี้มาให้ตัวเอง เจ้าหน้าที่ส่งพัสดุแจ้งว่าไม่มีการเรียกเก็บเงินค่าส่งและค่าสินค้าใดๆ จึงเกิดความสงสัยขึ้น เพราะตามปกติแล้วเวลาตัวเองสั่งสินค้าจะให้เก็บเงินปลายทางตลอด โดยตอนแรกตนเองเข้าใจว่า ส่งไปที่บ้านตามที่อยู่บัตรประชาชน แต่ต่อมาเจ้าหน้าที่ส่งพัสดุแจ้งว่าจะนำไปไว้ที่ตึกใหม่ ซึ่งทำให้ตัวเองรู้ว่าสถานที่ส่งพัสดุที่จริงแล้วเป็นคอนโดมิเนียมที่ตัวเองไม่ได้อยู่อาศัยนานแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจไปเปิดดูพัสดุ จนมาถึงวันนี้กลับไปดูพัสดุและเห็นว่าพัสดุจ่าหน้าว่ามาจากท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรีจึงเกิดความสงสัยขึ้น ซึ่งตนเองยืนยันว่าไม่รู้จักชื่อผู้ส่งพัสดุ
พร้อมทั้งยอมรับว่า รู้จักกับแอม มาตั้งแต่ปี 2563 เพราะเคยชักชวนลงทุน และตนเองก็ได้ลงทุนแต่ไม่ขอเปิดจำนวนที่ร่วมลงทุนไปแต่ได้เงินคืนทั้งหมด รวมถึงแนะนำให้ไปกู้เงินธนาคารเพื่อนำเงินมาเพิ่มในการไปลงทุน โดยตนเองได้เอาสำเนาบัตรประชาชนของให้แอมไว้เพื่อให้ไปสอบถามทางธนาคารว่าติดเครดิตบูโร หรือสามารถกู้เงินได้หรือไม่เหตุนี้จึงทำให้แอมมีที่อยู่ของตัวเอง ที่ผ่านมาแอมไม่เคยมาคอนโดของตัวเอง
ส่วนเหตุผลที่ส่งพัสดุไปที่ตนเองนั้นก็ไม่ทราบเพราะอะไร แต่ก่อนหน้านี้ตนเองเคยอธิฐานถึงก้อยว่า หากเขาเป็นคนผิดให้ก้อยทำอะไรก็ได้ให้รู้ว่าแอมเขาเป็นคนผิด
เมื่อถามว่า เคยโดนกระทำเหมือนเหยื่อรายอื่นๆหรือไม่ พยานคนนี้ขอไม่ให้ในรายละเอียด แต่ยอมรับว่าเคยโดน รวมถึงไม่ได้กังวลอะไรแล้วเพราะผ่านจุดที่เคยถูกกระทำมาแล้ว ตอนนั้นไม่ทันได้คิดว่าตนเองถูกกระทำ ถ้าจะให้เอาเรื่องก็ไม่มีหลักฐานแล้วเช่นกัน และหลังจากที่ตนเองถูกกระทำ ก็ไม่เคยไปกับแอมสองคนอีกเลย และส่วนตัวไม่ได้โลกสวยแต่มองว่า แอม ก็เป็นคนใจบุญ ตอนเห็นข่าวยังไม่ได้คิดอะไร แต่พอเห็นข่าวก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ
ทั้งนี้ 3 ปีที่ผ่านมา แอมมักจะปรึกษาเรื่องส่วนตัว เรื่องในครอบครัว และเรื่องทางการเงิน โดยแอมอ้างว่าเล่นแชร์แล้วโดนโกง ซึ่งตนเองไม่รู้ว่าจริงหรือไม่แต่ก็ให้คำแนะนำไปว่าอย่าเล่นแชร์เลย ทำมาหากินอย่างอื่นดีกว่า และส่วนมากก็จะปรึกษาในเรื่องที่อยากปรึกษา ไม่ใช่ทุกเรื่อง ซึ่งตนเองก็เป็นผู้ฟังที่ดีและแนะนำสิ่งที่ถูกต้อง
พร้อมยอมรับว่าแอมเคยยืมเงินตนเองด้วยเช่นกัน แต่แค่หลักพัน
ขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เปิดเผยภายหลังสอบปากคำพยานว่า พยานรายนี้ถือเป็นปากสำคัญในคดี เพราะได้นำหลักฐานสำคัญ ซึ่งเป็นของนางสาวศิริพร หรือ ก้อย มามอบให้กับตำรวจ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตำรวจได้ตามหามาระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่พบ กระทั่งมีการส่งทรัพย์สินของนางสาวก้อย ไปให้พยาน ที่คอนโด ในจังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นคอนโดที่พยานไม่ได้พักอาศัยอยู่นานแล้ว
ซึ่งขณะนี้ตำรวจทราบรายชื่อผู้ส่งพัสดุแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องยังไงกับแอม โดยตำรวจจะมีการเชิญตัวผู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการรับและส่งพัสดุกล่องนี้มาสอบปากคำทั้งหมด โดยเฉพาะรายชื่อสุดท้าย จากอำเภอท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ที่ส่งมายังจังหวัดเพชรบุรี ก็ได้มีการเชิญตัวผู้ส่งพัสดุมาสอบปากคำแล้วที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 แล้วเช่นกัน และหลังจากนี้ก็ต้องดูว่ามีส่วนรู้เห็นในการร่วมกันกระทำความผิด ซึ่งยืนยันว่าหากมีพยานหลักฐานว่ามีส่วนรู้เห็นก็จะต้องถูกดำเนินคดีทั้งหมด
ขณะที่จากการตรวจสอบยังพบอีกว่า กล่องพัสดุที่ซุกซ่อนทรัพย์สินของนางสาวก้อย ได้มีการส่งหมุนเวียนไปประมาณ 2-3 จังหวัด ก่อนจะถูกส่งมาที่จังหวัดเพชรบุรี เป็นที่สุดท้าย โดยการกระทำในลักษณะนี้ มองว่า มีจุดประสงค์ในการอำพรางหลักฐานทางคดี
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุอีกว่า พยานปากนี้ ถือเป็นคนสนิทของแอม และเป็นคนที่แอม ไว้ใจมากที่สุด และมีรายชื่อในบัญชีเข้าเยี่ยมผู้ต้องหาของกรมราชทัณฑ์ ที่สามารถเข้าเยี่ยมได้ตลอด ซึ่งหลังจากนี้ ตัวเองจะพาพยานปากนี้ เข้าไปพูดคุยกับแอม ในประเด็นเรื่องทรัพย์สินของก้อย ที่ถูกส่งไปถึงพยาน ซึ่งก่อนหน้านี้แอม เคยให้การไว้กับตำรวจระบุว่า นำทรัพย์สินเหล่านี้ใส่ถุงดำไปทิ้งถังขยะแล้ว
ขณะเดียวกัน วันนี้ตำรวจยังได้เชิญพันตำรวจโทวิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือ รองอ๊อฟ อดีตสามีของแอม เข้าให้การเป็นครั้งที่ 3 ในประเด็นเรื่องเส้นทางการเงินต่างๆ ของแอม ที่เบื้องต้นพบมีการโอนออกไปยัง 12 บัญชี นอกจากนี้ยังได้เชิญ พ่อ-แม่ และญาติ ของแอม เข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วย
ส่วนในทางคดีใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยวันพรุ่งนี้จะมีการสรุปผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ทั้งหมด รวมถึงแนวทางการสืบสวน ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนกรณีผู้ที่เกี่ยวข้อง ส่วนจะสามารถออกหมายจับได้หรือไม่ ยังไม่ชี้ชัด ขอตรวจสอบพยานหลักฐานทั้งหมดอีกครั้ง