16 ธันวาคม 2565 ที่โรงแรมเดอะเดวิส คอนเนอร์วิง สุขุมวิท 24 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเพิ่มเติมหลัง จากออกมาเปิดเผยเรื่อง ทุนจีนสีเทา ว่า เริ่มแรกทุนจีนสีเทามาจาก สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และจบที่หน่วยงานใดบ้าง โดยหากย้อนไปตั้งแต่ที่เปิดเผยเรื่องทุนจีนสีเทา เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้เก็บข้อมูลจนสังเกตเห็นถึงความผิดปกติเหล่านี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
นายชูวิทย์ กล่าวว่า จำนวนประชากรจีนมี 1,400 ล้านคน มี 5% หรือ 70 ล้านคน ที่มีฐานะ ถ้าในจำนวน 1,400 ล้านคน เป็นทุนจีนสีเทา 0.5% เท่ากับมี 7 ล้านคน ถามว่า กลุ่มคนเหล่านี้ไปทำธุรกิจสีเทาที่ไหน ก็ต้องเลือกไปที่ที่มีระบบราชการอ่อนแอ สามารถก่ออาชญากรรม เช่น ยาเสพติด , คอลเซ็นเตอร์ , พนันออนไลน์ , บ่อนการพนัน ได้ง่าย โดยธุรกิจประเภทนี้เป็นแหล่งเงินมหาศาล
ดังนั้น กลุ่มจีนเทา 7 ล้านคนนี้ จึงกระจายไปยังประเทศใกล้จีน กระจายประเทศละ 1 ล้านคน อาทิ เวียดนาม , กัมพูชา , สปป.ลาว , ฟิลิปปินส์ ส่วนที่เหลืออีก 3 ล้านคน มุ่งตรงมาที่ไทย ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้เดา สามารถตรวจสอบได้ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
นายชูวิทย์ กล่าวว่า คนจีนบางคนไม่ได้ถือพาสปอร์ตจีน แต่ถือพาสปอร์ต วานูอาตู หรือ มอลตา ซึ่งประเทศเหล่านี้ ใช้เงินแค่ 5 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4 ล้านหยวน ก็แปลงสัญชาติได้ จากนั้นมุ่งไปประเทศที่มีระบบราชการที่อ่อนแอ มีคอรัปชั่นมากมาย ไล่ซื้อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ และดำเนินการทำธุรกิจสีเทา ซึ่งการบุกจับผับจินหลิงเป็นตัวปะทุที่ทำให้คนไทยได้เห็นระบบอันเลวร้ายนี้
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า วันนี้ที่ได้ไปกินข้าวมากับ ผบ.ตร. และ รอง ผบ.ตร. อยากบอกว่าที่ ผับจินหลิง พิเศษกว่าที่อื่น เพราะพบมียาเสพติดเป็นจำนวนมาก ที่สามารถไว้ฝากได้ ขายได้ ดังนั้น จะมีสถานบันเทิงแบบไหนที่มีการฝาก การขาย ลงในบิลได้ นี่จึงไม่ใช่สถานบริการแล้ว แต่เป็นสถานที่ที่มีการมั่วสุมยาเสพติด
ส่วนกรณีที่เอาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย มาแจ้งข้อกล่าวหา เพราะเจ้าตัวมารับเซ็นว่า เป็นผู้ดูแลสถานที่ จนมาพบหลักฐานเพิ่มเติมทีหลังว่า ไม่ใช่ผู้ดูแล จน รปภ.รายนี้ได้รับการปล่อยตัว และได้เอาบุคคลดังกล่าวกลับมาเป็นพยาน ดังนั้น ลองไปตรวจสอบดูว่า บริษัท รปภ.ของคนนี้ มีใครเป็นผู้จ่ายเงินเดือน และ รปภ.คนนี้รับเงินเดือนจากบริษัท รปภ. หรือไม่
นายชูวิทย์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า จำนวนที่มีการจับกุมในผับจินหลิง 260 คน พบ 104 คนมีปัสสาวะสีม่วง ต่อมาพบเหลือเพียง 77 คน และหลังการตรวจปัสสาวะภายหลังอีกครั้ง ยังพบว่า หายไป 27 คน ตำรวจจะต้องสังเกตว่า สถานที่นี้ไม่ใช่สถานบริการ เพราะสถานบริการที่ไหนจะมียาเสพติดขนาดนี้ และมีจำนวนคนมีปัสสาวะสีม่วงมากขนาดนี้
และถ้าหากคำนวณ โดยเอาจำนวน 260 ลบ 104 จะเหลือเพียง 156 คน ซึ่งในจำนวนนี้ปรากฏว่า ตำรวจได้ปล่อยตัวไป ตนถือว่าเป็นข้อผิดพลาดอย่างร้ายแรง โดยปล่อยไป เพราะว่าตรวจปัสสาวะแล้วไม่ใช่สีม่วง แต่สถานบริการที่พบยาเสพติดจำนวนมากขนาดนี้ มันควรปล่อยตัวไปหรือไม่ ทั้งนี้ ในวันเข้าจับกุม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เอากำลังทรัพยากรบุคคลไปกี่คน ที่จะไปรับมือกับเหตุการณ์ตรงหน้า มองว่าไม่มีการวางแผน และในจำนวน 156 คนนี้เอง ที่มี "นายเดวิด ฮอว์" และเจ้าตัวไม่ได้หลบหนี แต่อยู่ในกลุ่มนี้ สรุปคือ ตำรวจทิ้งพยานสำคัญไป
นายชูวิทย์ ยังกล่าวด้วยว่า การจะแต่งตั้งใครเป็นประธานกรรมการสอบสวน ในเรื่องคดีนี้นั้น ต้องเอานักสืบสวนสอบสวน แต่นี่กลับเอานายตำรวจ ยศพันตำรวจเอก ที่ทำงานธุรการ แผนกจัดซื้อจัดจ้างมาเป็นประธานสอบเรื่องสำคัญ เพราะระบบราชการที่อ่อนแอ ทำให้มีกลุ่มจีนเทา และด่านหน้าคือ สตม. ต่อวีซ่าได้ด้วยมูลนิธิผี ของ "นายตู้ห่าว" มีทั้งสมาคมเถื่อน มันคือการเปิดรั้วบ้าน ปล่อยคนเลวเข้ามา หากคนจีนเทา รายไหนอยากอยู่ต่อ ก็หามูลนิธิฯ จากนั้นพอพวกนี้เข้ามา ก็ซื้อบ้านเกือบยกโครงการ คอนโดเหมายกชั้น ที่ดินหลายพันไร่ แล้วก็ทำธุรกิจผิดกฎหมายต่อเนื่อง แล้วคนจีนเทานี้ ก็ชักชวนคนจีนเทาเข้ามาเที่ยว มาเสพยา มาผับ ทำกันเป็นขบวนการ
นายชูวิทย์ ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า คดีนายตู้ห่าวนั้น มีความเกี่ยวข้องโดยตรง กับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. แต่ทาง ปปง. กลับเพิกเฉย ไม่ยอมตรวจสอบ ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล ส่งจดหมายสอบถามไปถึงสองครั้ง ก็ยังไม่มีการตอบกลับ ตนจึงได้ตั้งข้อสังเกตต่อว่า อาจเป็นเพราะมีผู้บริหารระดับสูงใน ปปง. ตำแหน่งประธาน ซึ่งมียศ “พล.ต.ต.” ที่มีความสนิทสนมกับ "นายตู้ห่าว" และ "นายหม่า" เครือข่ายธุรกิจสีเทาหรือไม่ จึงไม่ออกมาร่วมตรวจสอบในคดีดังกล่าว
ที่ผ่านมามีหลักฐานยืนยันว่า "นายตู้ห่าว" และ "นายหม่า" ทั้งสองคนเคยไปที่ สำนักงาน ปปง. อยู่บ่อยครั้ง ขึ้นไปที่ชั้น 3 และมีหลักฐานว่า ทั้ง 2 ฝ่าย เคยรับประทานอาหาร ดื่มกินร่วมกัน และยังยังพบว่า ผู้บริหารระดับสูงคนดังกล่าว ร่ำรวยผิดปกติ สามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศได้
นายชูวิทย์ กล่าวว่า หลักฐานสำคัญที่แสดงถึงความเชื่อมโยง ระหว่างผู้บริหารระดับสูงของ ปปง. และ "นายตู้ห่าว" รวมทั้ง "นายหลินหลง" คือพบว่า มีสติ๊กเกอร์ตราโล่ ของผู้บริหารระดับสูงของ ปปง. ไปติดที่บริเวณหน้ารถตู้ นายหลิงหลง ซึ่งตนมองว่า เป็นการกระทำไม่เหมาะสม จึงอยากเรียกร้องให้คณะกรรมการ ปปง. ลาออกยกคณะ ก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อรับผิดชอบในคดีดังกล่าว เพราะจนถึงวันนี้ยังเพิกเฉย ไม่ดำเนินการตรวจสอบทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องการฟอกเงิน และถ้าคิดปฏิเสธความจริงดังกล่าว เดี๋ยวตนจะเอารูปภาพที่มีการชนแก้วไวน์มาเปิดเผย
หลังจากนี้ จะนำพยานหลักฐานไปร้องต่อ สำนักงานอัยการสูงสุด , สมาชิกวุฒิสภา , สำนักงาน ป.ป.ช. โดยจะเสนอตัวเองเป็นพยาน เพื่อชี้เบาะแส การกระทำความผิด กระบวนการอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้
“ผมไม่เกรงกลัว หากจะถูกฟ้องร้องไล่หลัง ที่ออกมาแฉในเรื่องดังกล่าว เพราะผมเป็นประชาชนคนไทยที่จ่ายภาษีอากรให้หน่วยงานรัฐทำหน้าที่ ฉะนั้นจะต้องซื่อสัตย์ เพราะหมายังซื่อสัตย์ต่อเรา”