วันนี้ (22 มิ.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่ 4 คดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ยื่นฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ , พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อดีตหัวหน้าชุดสอบสวนคดีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ จากเหตุรุนแรงทางการเมืองปี 2553 , พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ในฐานะพนักงานสอบสวน ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 - 4 ในความผิดฐานเป็นร่วมกันเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา
จากกรณีเมื่อระหว่างเดือน ก.ค. 54 - 13 ธ.ค. 55 จำเลยทั้งสี่ในฐานะพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สอบสวน ได้ตั้งข้อหากับนายอภิสิทธ์และนายสุเทพ "ข้อหาสั่งฆ่าประชาชน" ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ให้ต้องรับโทษ จากการที่ ศอฉ. ออกคำสั่งให้ใช้กำลังเจ้าหน้าที่กระชับพื้นที่การชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เมื่อปี 53 ซึ่งจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธและต่อสู้คดี
โดยวันนี้ศาลตรวจสำนวนแล้วพบว่า ไม่สามารถส่งหมายแจ้งวันนัดให้นายธาริต จำเลยที่ 1 ได้ เนื่องจากย้ายไม่ทราบที่อยู่ใหม่ปรากฏตามรายงานของเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตามทนายความนายธาริต แถลงยืนยันว่า จำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.นครราชสีมา ศาลจึงให้ทนายจำเลยที่ 1 และนายประกันจำเลยทั้งสี่ สืบหาภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 แล้วแถลงต่อศาลภายใน 7 วันนับแต่นี้
และให้ส่งหมายแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1ใหม่ เป็นหมายศาลโดยให้มีหนังสือถึงศาลจังหวัดที่จำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาในเขตศาลเป็นผู้ดำเนินการส่งให้ หากไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดและแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1 ทราบ ด้วยวิธีปิดประกาศทางสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ และปิดประกาศหน้าศาลอีกทางหนึ่งด้วย กรณีมีเหตุสมควรให้เลื่อนนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาวันที่ 7 ก.ย.นี้ เวลา 09.00 น
นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความโจทก์ กล่าวว่า คดีนี้ดีเอสไอได้ทำสำนวนคดีว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช.มีเหตุความรุนแรง ต่อมาเมื่อเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ดีเอสไอก็ได้ทำสำนวนคดีใหม่ โดยมาสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ในข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ปรากฏว่าศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกายกฟ้อง ทั้งสองคนจึงมาฟ้องนายธาริต กับพวกรวม 4 คน ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ในที่สุดศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วให้ยกฟ้อง จากนั้นนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพก็ได้อุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษากลับโดยเห็นว่า เป็นการทำสำนวนคดีกลับไปกลับมา จึงพิพากษาว่าเป็นความผิดตามฟ้อง จำคุกจำเลยคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
และวันนี้เป็นนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หลังจากที่เมื่อวันที่ 21 เม.ย. ที่ผ่านมา นายธาริตได้ยื่นคำร้องอ้างว่า มีข้อเท็จจริงใหม่พร้อมกับวางเงิน 6 แสนบาท เพื่อจะชดใช้ค่าเสียหายให้กับโจทก์ทั้งสอง แต่ฝ่ายโจทก์คัดค้าน แต่วันนี้ปรากฏว่า ศาลส่งหมายให้กับนายธาริตยังไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์แจ้งว่า “ส่งไม่ได้ เขาย้ายไม่ทราบที่อยู่”
ขณะที่ทนายความนายธาริตยืนยันว่า นายธาริตยังอยู่ที่เดิม ภูมิลำเนา อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ศาลจึงต้องให้เจ้าหน้าที่ส่งหมายศาลไปอีกครั้ง ถ้าหากส่งไม่ได้อีกก็ให้ติดหมายไว้โดยเจ้าหน้าที่ศาล ให้ประกาศทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ และให้ประกาศหน้าศาล พร้อมกับบังคับนายประกันว่า ให้แถลงภูมิลำเนาของนายธาริต ทั้งนี้ได้กำชับนายประกันและจำเลยอื่นให้ติดต่อนายธาริต และเลื่อนอ่านคำพิพากษาฎีกาออกไปเป็นวันที่ 7 ก.ย. นี้
ส่วนในครั้งหน้าจะมีเหตุให้เลื่อนคดีอีกหรือไม่นั้นเป็นเหตุในอนาคต ไม่อาจจะตอบได้ ซึ่งที่ผ่านมามีเหตุเรื่องเป็นลมหมดสติเข้าโรงพยาบาล และติดโควิด-19 ตนมองว่า การเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่ทั้งนี้ก็อยู่ในดุลยพินิจของศาลว่าจะดำเนินการอย่างไร