หลังจากเคยสร้างกระแสฮือฮาให้กับคอการเมืองไม่น้อย สำหรับคอการเมืองกรณี “แรมโบ้อีสาน” หรือ นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ลาออกจาก “พลังประชารัฐ ” พร้อมกับเปิดตัวพรรคใหม่ “รวมไทยสร้างชาติ” เพื่อเป็นพรรคสำรองและหาทางออกให้กับ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” หากถูกหักหลังทางการเมืองและไม่มีทางไป
และดราม่าล่าสุดกรณีทนายตั้ม - ษิทรา เบี้ยบังเกิด โพสต์คลิปเสียงอ้างคล้ายเสียง “แรมโบ้” พูดเรื่องจับกุมสลากหวยออนไลน์ ในทางที่แปลก ๆ มีเรื่องเงินยืม 15 ล้านเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยจึงขอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตรวจสอบ ซึ่งต่อมาแรมโบ้ ได้ออกมาระบุว่า เตรียมแจ้งความดำเนินคดี คนอัดคลิป นำไปเผยแพร่
ขณะที่นางจุรีพร สินธุไพรหญิงที่มีเสียงอยู่ในคลิป อ้างว่าการพูดคุยในคลิปเป็นการหยอกล้อกันเล่นจึงแสดงความบริสุทธ์ใจออกมาขอโทษแรมโบ้ไม่เกี่ยวกับเรื่องโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาลแต่อย่างใด
หากย้อนถึงประวัติของ “แรมโบ้อีสาน” เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งคนมีบทบาททางการเมืองมาโดยตลอดและสร้างเสียงฮือฮาที่สุดคือการเปลี่ยนขั้วการเมืองแบบสุดโต่งจากที่เคยภักดี “ทักษิณ ชินวัตร” หันมาเป็น องครักษ์พิทักษ์ “ลุงตู่”
ทำความรู้จัก “แรมโบ้อีสาน” หรือ ดร.เสกสกล อัตถาวงศ์ มีชื่อเดิม สุภรณ์ อัตถาวงศ์
เกิดเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2507 ที่อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรของนายประวัติ-นางสุ้น อัตถาวงศ์ เป็นน้องชายของนายสัมภาษณ์ อัตถาวงศ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา และพี่ชายนาย ชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย)
การศึกษาในระดับมัธยมต้นจากโรงเรียนครบุรี จบ มศ.5 โรงเรียนสุราษฎร์ธานี , ปริญญาตรี ศิลปศาสตร์บัณฑิต (รัฐศาสตร์) มหาวิทยาลัยรามคำแหง ,ปริญญาโท ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ,ปริญญาเอก สาขายุทธศาสตร์การพัฒนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูง การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง สถาบันพระปกเกล้า รุ่นที่ 25
การทำงาน เริ่มทำงานที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เป็นเจ้าหน้าที่กองหนังสือเดินทาง กระทรวงการต่างประเทศ และใช้เวลาว่างในการเป็นผู้ช่วยผู้ดำเนินงานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครราชสีมา พรรคกิจสังคม เป็นผู้ช่วยทำงานให้เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
ต่อมาจึงได้ย้ายติดตามนายมนตรี ด่านไพบูลย์ มาสังกัดพรรคความหวังใหม่ หลังจากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าอาสาสมัครรณรงค์เลือกตั้งของพรรคพลังธรรม ในปี 2538 และลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งแรกที่จังหวัดนครราชสีมา สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในปี 2539 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง
การเลือกตั้งในปี 2544 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งในสังกัดพรรคไทยรักไทย และได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. ครั้งแรก ต่อมาในปี 2550 ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรคการเมือง 2549 ต่อมาในปี 2555 ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป 2557 ได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ที่ 74
บทบาททางการเมืองในอดีต “แรมโบ้อีสาน” โดดเด่นโดยเป็นหนึ่งในแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และเป็นเจ้าของบทเพลง “กตัญญูทักษิณ” ซึ่งมีเนื้อเพลงแสดงถึงความรักและเทิดทูนอดีตนายกรัฐมนตรีแดนไกลเป็นอย่าง โดยมีเนื้อเพลงท่อนหนึ่งว่า
“แรมโบ้อีสาน ไม่ลืมพระคุณท่านคนที่ชื่อทักษิณ ถึงใครประณาม เหยียดหยามหมิ่นชื่อทักษิณก็ยังตรึงใจ ผมเล่นการเมือง ชื่อแรมโบ้ฟูเฟื่องหลายสมัย ท่านคอยส่งเสริมต่อเติมให้ ก้าวถึงเส้นชัยเหมือนใจจำนง”
ในปี 2550 “แรมโบ้อีสาน” เคยโดนคนร้ายขับกระบะตีคู่ใช้ปืนยิงถล่มใส่กลางดึก โดยเขาถูกยิงที่หัวไหล่ และ แขน ได้รับบาดเจ็บ โดยเหตุการณ์นั้นเจ้าตัวเชื่อสาเหตุขัดแย้งการเมืองกับฝั่งตรงข้าม
“แรมโบ้อีสาน” มีบทบาทางการเมืองกับกลุ่มเสื้อแดงมาตลอดจนเกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 โดยคณะรักษาคววามสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่ง “แรมโบ้” ถูก คสช.ควบคุมตัวตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค. 2557 และได้รับการปล่อยตัวเมื่อคืน 29 พ.ค. 57 ระหว่างการถูกควบคุมตัว ทหารก็ได้ดูแลเป็นอย่างดี รวมทั้งได้มีการทำความเข้าใจในสถานการณ์บ้านเมือง
สาบานเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต
จนกระทั่งในวันที่ 30 พ.ค. 2557 “แรมโบ้” ได้เดินทางมาที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา เพื่อกราบสักการะ และกล่าวคำ “ปฏิญาณตนว่าจะเลิกเล่นการเมือง เลิกยุ่งเกี่ยวกับการเมืองตลอดชีวิต” โดยให้เหตุผลว่า “ต้องการให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข ดังนั้นเมื่อได้รับการปล่อยตัว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้น จึงตัดสินใจเลิกเล่นการเมือง และเลิกยุ่งการเมืองตลอดชีวิต หลังจากนี้ก็ขอให้ชื่อ “แรมโบ้อีสาน” เป็นตำนานทางการเมือง จะไม่ขอใช้ชื่อนี้อีกต่อไป”
ถอนคำสาบานหันมาเล่นการเมืองอีกครั้ง
ต่อมาในวันที่ 3 ส.ค. 61 “แรมโบ้อีสาน” ได้ถอนคำสาบานที่ว่าจะเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต โดยระบุว่า “ขอบอกกับคุณย่าโมว่าลูกขอกลับมาทำงานพัฒนาสร้างความเจริญให้กับเมืองโคราช เพื่อให้เกิดความกินดีอยู่ดีกับพี่น้อง และสิ่งใดที่ลูกทำอะไรไว้ มิดี มิงาม ลูกขอกราอภัยคุณย่าโม แล้วจากนี้เป็นต้นไปลูกจะตั้งหน้าตั้งตาทำงานให้กับประชาชน และเรียกความรักความศรัทธา ความดีงาม ความสมัครสมานสามัคคี ความปรองดองให้เกิดขึ้นในผืนแผ่นดินไทย โดยไม่แตกร้าวอีกต่อไป”
และต่อมาได้ย้ายเข้ามาร่วมงานกับ “พรรคพลังประชารัฐ” ลงสมัครรับเลือกตั้งในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี 2562 แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง และถูกนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งให้เป็น “ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี” มีบทบาทในการเจรจากับม็อบต่าง ๆ และเขายังเป็นตัวตั้งตัวตีในการ “ประกาศเปิดแคมเปญลงชื่อขับไล่แอมเนสตี้ 1 ล้านชื่อ” อีกด้วย
นอกจากนี้ “แรมโบ้” ยังได้รับการแต่งตั้งเป็น “รองประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนดในสลากกินแบ่งรัฐบาล” หรือกรรมการแก้หวยแพงอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม “แรมโบ้อีสาน” เป็นแกนนำ นปช.คนเดียวที่รอดในคดีล้มประชุมผู้นำอาเซียน ปี 2552 เนื่องจากอัยการอ้างนำตัวฟ้องศาลไม่ทัน ทำให้คดีขาดอายุความ ขณะที่แกนนำคนอื่น ๆ ในเหตุการณ์นั้นโดนฟ้องดำเนินคดีทุกคน