19 กันยายน 2564 ปัจจุบัน อุตสาหกรรม IoT (Internet of Things) ทั่วโลกมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว จากการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารแบบ 5G ปัญญาประดิษฐ์ และการประมวลผลที่ทันสมัย ในปี 2563 ตลาดอุปกรณ์สมาร์ทโฮมทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 130 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคาดว่าในปี 2567 จะมีการส่งมอบอุปกรณ์ IoT ทั่วโลกมากกว่า 1.4 พันล้านชิ้น
ด้วยนโยบายการสนับสนุนของรัฐบาลไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้อุตสาหกรรม IoT ของประเทศไทยพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จากการสำรวจของ Asian IoT Business Platform พบว่า 89% ของบริษัทในประเทศไทยได้ใช้โซลูชัน IoT มากเป็นอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และนับว่าเป็นผู้บุกเบิกในการนำโซลูชัน IoT มาใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านนวัตกรรมและการผลิต ซึ่งศักยภาพของประเทศไทยและในตลาดอาเซียนจะดึงดูดให้มีผู้เล่นชั้นนำในตลาดระดับโลกเข้ามามีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น
นายลีโอ ยู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท T3 Technology จำกัด ผู้ให้บริการด้านโซลูชั่นโทรคมนาคมชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า “ ในฐานะผู้นำทางด้านเทคโนโลยีในประเทศไทย T3 Technology ดำเนินธุรกิจโดยยึดถือลูกค้าเป็นศูนย์กลางอย่างเสมอมา โดยเน้นเจาะกลุ่มตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ภายใต้ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ โฮมเทอร์มินอล, Smart IoT และโซลูชั่นระบบโทรคมนาคมแบบ end-to-end ซึ่งปัจจุบันผลิตภัณฑ์กลุ่มโฮมเทอร์มินอลซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในประเทศไทย
โดยเรามีเป้าหมายที่จะผลักดันให้ธุรกิจกลุ่มนี้ และกลุ่ม Smart IoT ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า ดังนั้นการลงนามความร่วมมือครั้งนี้ จะช่วยยกระดับสินค้าและบริการให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น รวมถึงสร้างมูลค่าของ IoT ให้ตอบโจทย์ลูกค้าและผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์”
T3 Technology ได้จับมือ Tuya Smart ลงนามข้อตกลงความร่วมมือในการกำหนดยุทธศาสตร์พัฒนาแอพพลิเคชั่นซอฟต์แวร์ รวมถึงการวางแผนและออกแบบผลิตภัณฑ์ IoT
อีกทั้งขยายระบบนิเวศหรืออีโคซิสเต็มส์เพื่อรองรับ IoT รวมไปถึงการใช้งานระบบคลาวด์และอื่น ๆ เพื่อผลักดันให้ T3 Technology ก้าวสู่ความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม IoT ของประเทศไทยภายใน 3 ปี และเตรียมรุกตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเต็มตัว
ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันโทรคมนาคมชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ T3 Technology ได้ให้บริการลูกค้ามากกว่า 2 ล้านครัวเรือน และผู้ใช้งานกว่า 8 ล้านคน ด้วยความสามารถในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่ง ตลอดจนระบบบริการแบบ end-to-end ทำให้ T3 Technology มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากด้านอุปกรณ์สื่อสารไฮเทคในประเทศไทย
โดยบริษัทฯ ได้วางรากฐานและสร้างตลาดกลุ่มโทรคมนาคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการเข้าถึงความต้องการของตลาดอย่างแม่นยำ ตลอดจนโปรโมทกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 กลุ่มอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับโซลูชั่น 5G ถือว่าเป็นตลาดใหม่ที่ได้ส่วนแบ่งสูงสุด ขณะที่ Smart IoT ก็ได้เจาะกลุ่มองค์กรชั้นนำต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โลตัส เซเว่น-อีเลฟเว่น ตลอดจนผู้ประกอบการรายใหญ่ที่นำมาใช้งานทั้งในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์
ทางด้าน นางสาวอีวา นา รองประธานฝ่ายการตลาดและความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ และ CMO ของบริษัท Tuya Smart จำกัด ผู้นำแพลตฟอร์ม AIoT ชั้นนำระดับโลก กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้อย่างมั่นใจว่า “Tuya ยึดมั่นในคุณค่า ความสำเร็จของลูกค้ามาโดยตลอด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการก้าวสู่ความเป็นผู้นำไปด้วยกัน และเติมเต็มทางด้านอีโคซิสเต็ม ดังนั้นการร่วมเป็นพันธมิตรกันในครั้งนี้กับ T3 Technology จะช่วยส่งเสริมอุปกรณ์อัจฉริยะและโซลูชันด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับตกแต่งบ้าน
สำหรับการพาณิชย์ ตลอดจนด้านระบบวิศวกรรม ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ T3 Technology กลายเป็นองค์กรมาตรฐานและเป็นแบรนด์อันดับหนึ่ง ในอุตสาหกรรม IoT ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามเป้าหมาย”
Tuya Smart เป็นแพลตฟอร์มการพัฒนา IoT ระดับโลก หลังจากเร่งรัดพัฒนาแพลตฟอร์มภายในเวลา 7 ปี ก็สามารถรวบรวมนักพัฒนาเข้ามาในระบบมากกว่า 384,000 ราย โดยในแต่ละวันมีการโต้ตอบด้วยเสียง AI มากกว่า 122 ล้านครั้ง มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 410,000 รายการที่อยู่ภายใต้ 'Powered by Tuya' ซึ่งสินค้าและบริการต่าง ๆ เหล่านี้ มีวางจำหน่ายและใช้งานครอบคลุมกว่า 220 ประเทศในทุกภูมิภาค ครอบคลุมช่องทางการจำหน่ายทั้งออนไลน์และออฟไลน์มากกว่า 100,000 ช่องทางทั่วโลก
นอกจากนี้ นายเดวิด เฉิน รองประธานบริหารฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท T3 Technology จำกัด ได้กล่าวเสริมว่า "แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากโรคระบาด แต่อุตสาหกรรม IoT กลับเติบโตและมีศักยภาพมากขึ้น โดย T3 Technology ได้เปิดทุกช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์เพื่อการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ด้าน IoT ให้สามารถใช้งานได้ในประเทศไทย อินโดนีเซีย ปากีสถาน ฯลฯ
อีกทั้ง T3 Technology ยังคงสร้างแบรนด์ ออกแบบ และผลิตสินค้าของตัวเอง รวมถึงจัดการระบบซัพพลายเชน ตลอดจนการส่งเสริมการตลาด และการให้บริการทางเทคนิคในแต่ละประเทศอีกด้วย
โดยการลงนามในข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า T3 Technology จะร่วมมือกับ Tuya Smart ในการพัฒนาอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์อัจฉริยะ การพัฒนาแอปพลิเคชั่น และคลาวด์แพลตฟอร์ม เพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของ T3 Smart IoT โดยจะครอบคลุมทุกช่องทางการจำหน่ายไม่ว่าจะเป็นอีคอมเมิร์ซ ผู้ประกอบการรายย่อย เครือข่ายค้าปลีกขนาดใหญ่ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายเครื่องใช้ในบ้าน ร้านขายของตกแต่งบ้าน ร้านไอที และร้านค้าอื่น ๆ อีกทั้งยังจะนำเสนอสินค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงและเพลิดเพลินไปกับเทคโนโลยีใหม่ๆ”
นายโรส หลัว ผู้จัดการทั่วไปภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคของ Tuya Smart กล่าวว่า "ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีประชากรมากกว่า 650 ล้านคน โดยประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีคิดเป็น 33.8% ของประชากรทั้งภูมิภาค ซึ่งคนรุ่นใหม่พร้อมที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ได้อย่างไม่ลังเล และคนกลุ่มนี้คือกลุ่มเป้าหมายหลักของผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮมต่างๆ ประกอบกับความนิยมของสมาร์ทโฟน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางอินเทอร์เน็ต และอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือที่มีความรวดเร็วมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้จะช่วยผลักดันการพัฒนาของอุตสาหกรรม IoT โดยทาง Tuya ได้ให้บริการด้าน IoT สำหรับเครือข่ายของพันธมิตรทุกราย ทั้งการสร้างมูลค่า และสร้างการเชื่อมต่อถึงกันอย่างชาญฉลาด เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าการร่วมมือกันในครั้งนี้ จะช่วยผลักดันให้ T3 Technology กลายเป็นแบรนด์ IoT ชั้นนำในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ในที่สุด"
ปัจจุบัน รัฐบาลไทยได้พยายามส่งเสริมกลยุทธ์เศรษฐกิจใหม่ภายใต้ "ยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0" ซึ่งจะปรับโฉมเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของไทยจากการพึ่งพาการผลิตแบบเดิมๆ สู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม
ดังนั้น การส่งเสริมการพัฒนา IoT จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญ โดยมีการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2573 ตลาด IoT ของประเทศไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 2.19 พันล้านเหรียญสหรัฐ และจะทำให้ประเทศไทยเป็นต้นแบบในอาเซียน
ด้วยความสำเร็จดังกล่าวจะทำให้ T3 Technology และ Tuya Smart มีโอกาสขยายบริการไปยังตลาดประเทศอื่นๆ ในอาเซียนได้ในอนาคต อาทิ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งประเทศเหล่านี้ ยังมีโอกาสเติบโตขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการบูรณาการทางนิเวศวิทยาในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการขยายตลาดสู่ระดับโลกต่อไป