จากกรณีตามที่สื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวในห้วงที่ผ่านมามักมีเหตุเกี่ยวกับการนำอาวุธปืนไปก่อเหตุ อาทิ นำอาวุธปืนไปยิงผู้อื่นถึงแก่ความตาย หรือทำปืนลั่นใส่ตัวเองจนเสียชีวิต จากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. เปิดเผยว่า
จากเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น ขอแสดงความเสียใจกับญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์อาวุธปืนลั่นเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต โดยขอยกเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นเป็นอุทธาหรณ์ให้กับผู้ปกครอง หรือผู้ที่มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยถูกกฎหมาย ไม่ว่าจะมีไว้เพื่อป้องกันความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน หรือในทางกีฬายิงปืน เป็นต้น ในการเก็บอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนชนิดต่างๆ ไว้ในบ้าน อาคาร ควรจัดเก็บในที่ปลอดภัย ไว้ในตู้เซฟ หรือจุดที่เด็กไม่สามารถนำมาหยิบเล่นได้ มีการปลดแมกกาซีน หรือนำเครื่องกระสุน(ลูกปืน) ออกจากแมกกาซีนหรือลูกโม่ให้เรียบร้อย การนำอาวุธปืนมาทำความสะอาด หรือแม้กระทั่งมายิงในสนามยิงปืน ก็ขอให้ยึดถือตามหลักกฎแห่งความปลอดภัยการใช้อาวุธปืน 10 ประการอยู่เสมอ คือ 1. เมื่อจับปืนทุกครั้งให้พึงระลึกเสมอว่าปืนทุกกระบอกมีกระสุนบรรจุอยู่ 2. ตรวจปืนทุกครั้งที่จับว่ามีกระสุนบรรจุอยู่หรือไม่ มีวัสดุใดติดค้างอยู่ในลำกล้องหรือไม่ 3. อย่าเล็งปืนไปที่บุคคล สิ่งมีชีวิต หรือสิ่งของมีค่า ถ้าผู้ยิงไม่ต้องการยิง 4. อย่าเล็งปืนไปทางวัสดุอื่นใดที่อาจทำให้หัวกระสุนปืนสะท้อนกลับหรือแฉลบได้ เช่นวัสดุที่มีผิวแบนแข็ง ผิวน้ำ 5. อย่าพูดคุยกับผู้อื่นในขณะยิงปืน 6. อย่าทิ้งปืนที่บรรจุกระสุนปืนไว้ในที่ซึ่งมีบุคคลอื่น
โดยเฉพาะเด็กอาจหยิบฉวยเอาไปเล่นได้ง่าย 7. อย่าหันปากกระบอกปืนไปทางด้านข้างหรือด้านหลัง ขณะจับปืนอยู่ในแนวยิง 8. เมื่ออยู่ในห้องฝึกหรือสนามยิงปืนต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้ควบคุมการฝึกอย่างเคร่งครัด 9. ถ้าไม่เก็บปืนไว้ในซองปืน ต้องจับในลักษณะเปิดลูกโม่ หรือให้โครงเลื่อนปืนอยู่ในลักษณะค้างโครงเลื่อนปืนไว้ 10. การส่งปืนให้ผู้อื่น ต้องส่งปืนในลักษณะเปิดลูกโม่ หรือให้โครงเลื่อนปืนอยู่ในลักษณะค้างโครงเลื่อนปืนไว้ รอง โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า
ขอฝากให้ผู้ปกครอง สร้างการรับรู้ให้แก่บุตรหลาน เด็ก ว่าอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน นั้นเป็นสิ่งที่มีไว้ในการป้องกันความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน ไม่ใช่ของเล่น หรือสิ่งที่นำมาทำร้าย ก่อความรุนแรง หรือทำให้เกิดอันตรายกับผู้อื่น ซึ่งถือว่าครอบครัวนั้นเป็นสถาบันแรกของสังคมในการช่วยกันอบรมสั่งสอน บุตร หลาน อีกทั้งในการขอมีและใช้อาวุธปืน หรือแม้กระทั่งในการพกพา ก็ขอให้ดำเนินการและขออนุญาตให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และยึดถือตามหลักกฎแห่งความปลอดภัยในการมีและการใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตัวเจ้าของปืน บุคคลรอบข้าง และผู้อื่น
ซึ่งโดยหลักแล้วกฎหมาย พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯ พ.ศ.2490 นั้นอนุญาตให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบ ทหาร ตำรวจ อยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่หรือผู้ได้รับมอบหมายให้มีหรือใช้อาวุธปืน อยู่ระหว่างการช่วยเหลือราชการและมีเหตุจำเป็นต้องมีและใช้อาวุธปืน และในส่วนของประชาชนที่มีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องมีและใช้อาวุธปืนเพื่อป้องกันชีวิต ทรัพย์สินนั้น ก็สามารถยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนที่เกี่ยวข้องในการขออนุญาต ตาม 5 ขั้นตอนของการขอมีและใช้อาวุธปืน ในเบื้องต้น ดังนี้ 1.ยื่นคำร้องขอ (ใบ ป.1) 2.นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน(ใบ ป.3) ภายใน 6 เดือนตั้งแต่ได้รับใบอนุญาต 3.ผู้ขอใบอนุญาตไปจัดหาซื้ออาวุธปืน และเครื่องกระสุนมาแล้ว ต้องนำอาวุธปืนนั้นไปให้นายทะเบียนตรวจสอบ 4.นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (ใบ ป.4) 5.การพกอาวุธปืนติดตัว (ใบ ป.12)ต้องขออนุญาตต่อ ผบ.ตร. โดยเหตุผลการอนุญาตให้มีหรือใช้อาวุธปืน ในเบื้องต้นคือ 1.ใช้ป้องกันตัวเองและทรัพย์สิน 2.เพื่อการกีฬา 3.เพื่อการล่าสัตว์ 4.เก็บเป็นที่ระลึก 5.พกชั่วคราว (นักการทูตและผู้ติดตาม) ส่วนสถานที่ขออนุญาต นั้น กรณี กรุงเทพฯ ยื่นขอใบ ป.1-ป.4 ที่สำนักสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ยื่นขอใบ ป.12 กองบัญชาการสอบสวนกลาง
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีต่างจังหวัด ยื่นขอใบป.1-ป.12 ที่ว่าการอำเภอตามทะเบียนราษฏร เป็นต้น นอกจากนี้ มีข้อห้ามที่ระบุว่า บุคคลเหล่านี้ไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ ประกอบด้วย ต้องโทษจำคุกตาม ม.13 (พรบ.อาวุธปืน) ไม่บรรลุนิติภาวะ พิการ หรือ ทุพพลภาพ วิกลจริต หรือ จิตฟั่นเฟือน ไม่มีอาชีพและรายได้ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ประพฤติผิดร้ายแรง ทั้งนี้หากไม่ปฎิบัติตามกฎหมายในการห้ามพกอาวุธปืนติดตัว อาจเข้าข่ายความผิดในฐาน พกอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ห้ามพกพาอาวุธปืนอย่างเปิดเผยหรือนำไปใช้ในที่ชุมนุมที่มีงานรื่นเริงต่างๆ ฝ่าฝืนจำคุก 6 เดือน - 5 ปี และ ปรับ 1000 - 10000 บาท