ภายหลังมีเอกสารจากสำนักงานอัยการสูงสุด ส่งถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ลงนามในความเห็นสั่งฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร และพวกรวม 4 คน หนึ่งในนั้นเป็นข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คือ นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ “บิลลี่” ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น (อ่านรายละเอียด)
วันนี้ ทีมข่าวเนชั่นออนไลน์ จะพาไปทำความรู้จัก หรือย้อนคดีการหายตัวไปของ “บิลลี่” หรือ นายพอละจี รักจงเจริญ ชาวกะเหรี่ยงในป่าแก่งกระจาน หรือที่ภายหลังรู้จักกันในชื่อ “บ้านบางกลอย” ตั้งแต่ 17 เมษายน 2557 ซึ่งเปลี่ยนสถานะจากคดีคนหาย กลายเป็นคดีฆาตกรรมอย่างเป็นทางการ
สำหรับ บิลลี่ เป็นชายหนุ่มกลุ่มชาติพันธุ์เชื้อสายกะเหรี่ยง เกิดที่บ้านบางกลอยบน จังหวัดเพชรบุรี เป็นหลานชายของปู่คออี้ ผู้นำทางจิตวิญญาณของกลุ่มชาติพันธุ์บางกลอยบนแห่งผืนป่าแก่งกระจาน หรือที่รู้จักกันในนาม "ใจแผ่นดิน"
บิลลี่ทำหน้าที่เป็นล่ามในการผลักดันการทำงานเพื่อสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ เนื่องจากเจ้าตัวเรียนหนังสือและสื่อสารภาษาไทยได้ ก่อนหายตัวไป บิลลี่ทำงานเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี
ชีวิตคู่ แต่งงานกับนางสาวพิณนภา พฤกษาพรรณ หรือ มีนอ มีบุตรด้วยกัน 5 คน บิลลี่ไม่มีที่ดินทำกิน ภายหลังจากที่ถูกบังคับให้อพยพออกมาจากพื้นที่ดั้งเดิม จึงต้องออกไปรับจ้างเฝ้าสวน ส่วนภรรยามีอาชีพรับจ้างรายวันทั่วไป
ขณะที่บิลลี่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิดของตนเอง ถือเป็นพยานปากสำคัญ และเป็นผู้ประสานงานในคดีเหตุการณ์เจ้าหน้าที่บุกเผาทำลายทรัพย์สินชาวกะเหรี่ยงตั้งแต่ปี 2553-2554 ก่อนจะหายตัวไปในวันที่ 17 เมษายน 2557
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เพจเฟซบุ๊กดัง Poetry of Bitch ได้สรุปเรื่องราวคดีของ "บิลลี่" ไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้
1- "บิลลี่" (พอละจี รักจงเจริญ) หนุ่มปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง) เกิดและโตที่ "ใจแผ่นดิน" ในป่าแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ชาวปกาเกอะญออยู่กันมานานนับร้อยปี ก่อนป่าแห่งนี้ถูกจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ
2- บิลลี่เป็นหลานของ "ปู่คออี้" ผู้อาวุโสซึ่งเป็นผู้นำจิตวิญญาณของชาวปกาเกอะญอ โดยเขาได้เรียนรู้จากปู่มากมาย (ปู่คออี้เสียชีวิตเมื่อตุลาคม 2561 ในวัย 107 ปี)
3- บิลลี่ขวนขวายหาความรู้ตั้งแต่เด็กเพื่อจะได้ช่วยเหลือชุมชน จนสามารถอ่านเขียนภาษาไทยได้ และกลายเป็นล่ามคนสำคัญของปกาเกอะญอ
4- ปี 2554 เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ได้นำกำลังขึ้นไปรื้อถอน-เผาทำลายที่อยู่อาศัย ยุ้งฉางและทรัพย์สินของชาวปกาเกอะญอในบริเวณใจแผ่นดิน 30-40 ครัวเรือน ในข้อหาบุกรุกป่า พร้อมกดดันให้ย้ายลงมาอยู่หมู่บ้านข้างล่าง
5- ปู่คออี้เป็นแกนนำเรียกร้องความเป็นธรรมให้ชาวปกาเกอะญอ จนนำมาซึ่งการฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยมีบิลลี่เป็นผู้ช่วยคนสำคัญของปู่ และเป็นพยานในคดีนี้ด้วย
6- บิลลี่ซึ่งขณะนั้นอยู่กินกับ "มึนอ" และมีลูกด้วยกัน 5 คน ต้องย้ายลงมาอยู่ที่หมู่บ้านข้างล่างโดยไม่มีที่ทำกิน บิลลี่จึงไปทำงานรับจ้างเฝ้าสวน ส่วนมึนอก็รับจ้างรายวันทั่วไป
7- ความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับปกาเกอะญอดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง บิลลี่กลายเป็นนักต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน เขาหันมาผลิตสารคดีสั้นอย่างง่าย ๆ เพื่อให้คนเข้าใจวิถีชีวิตของปกาเกอะญอกับป่ามากขึ้น
8- บิลลี่ถึงกับบอกภรรยาและเพื่อนสนิทเอาไว้ว่า หากวันใดเขาหายตัวไป ไม่ต้องเป็นห่วงและไม่ต้องตามหา ให้รู้ไว้ว่าเขาถูกฆ่าตายแล้ว
9- ในปี 2556 ชาวบ้านให้ความไว้วางใจเลือกบิลลี่มาเป็นสมาชิก อบต.ห้วยแม่เพรียง
10- วันที่ 17 เม.ย. 57 บิลลี่ขับมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านเพื่อไปทำหน้าที่ อบต.ในตัวอำเภอแล้วหายตัวไป มีคนเห็นบิลลี่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานจับกุมตัวไป แต่ไม่รู้ว่าพาไปไหน ผู้ใหญ่บ้านจึงเข้าแจ้งความคนหาย
11- หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน (ในขณะนั้น) ยอมรับว่าควบคุมตัวบิลลี่เอาไว้จริงเพราะมีน้ำผึ้งป่าในครอบครอง แต่ได้ปล่อยตัวไปแล้ว
12- แต่บิลลี่ก็ไม่กลับบ้านอีกเลย มึนอซึ่งเชื่อว่าสามียังมีชีวิตอยู่ได้ทำทุกวิถีทาง ทั้งร้องเรียนจังหวัด ยื่นคำร้องต่อศาลให้ไต่สวนว่าการควบคุมตัวบิลลี่ขัดกับหลักกฎหมาย ยื่นหนังสือต่อสถานทูตต่างประเทศ แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า
13- การหายตัวไปในลักษณะนี้เรียกว่า "การถูกบังคับให้สูญหาย" หรือ Forced Disappearance แปลตรง ๆ ก็คือการ "อุ้ม" ใครสักคนให้หายไปจากสังคม ถือเป็นอาชญากรรมรุนแรง และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
14- ในระหว่างการหายตัวไปของบิลลี่ ไทยพยายามเสนอให้ป่าแก่งกระจานได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลก แต่ถูกปฏิเสธ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคณะกรรมการฯ เป็นกังวลเรื่องความขัดแย้งระหว่างปกาเกอะญอกับอุทยาน รวมถึงการหายตัวไปของบิลลี่ (สุดท้ายขึ้นได้ในปี 64)
15- วันที่ 12 มิ.ย. 61 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาว่า แม้ใจแผ่นดินจะอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ แต่ถือเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมของปกาเกอะญอ จึงให้ฟื้นฟูเยียวยาชาวปกาเกอะญอที่ได้รับความเสียหายจากการถูกเผาทำลายบ้านเรือนเมื่อปี 2554
16- มิถุนายน 2561 กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ได้รับคดีการหายตัวไปของบิลลี่เข้าเป็น "คดีพิเศษ" และนั่นกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของคดีนี้
17- เมษายน 2562 ดีเอสไอพบถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร ถูกทิ้งน้ำในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในถังมีชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ และกะโหลกศีรษะซึ่งมีรอยแตกและรอยไหม้ จึงนำส่งตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์อย่างละเอียด
18- วันที่ 3 ก.ย. 62 กรมสอบสวนคดีพิเศษ แถลงข่าว พบวัตถุพยานสำคัญ บริเวณใกล้สะพานแขวน ภายในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยพบ ชิ้นส่วนกระดูก 2 ชิ้น ถังน้ำมัน 200 ลิตร 1 ถัง เหล็กเส้น 2 เส้น ถ่านไม้ 4 ชิ้นและเศษฝาถังน้ำมัน ส่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ตรวจพิสูจน์ วัตถุเป็นชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะข้างซ้ายของมนุษย์ มีรอยไหม้สีน้ำตาล ร่วมกับรอยแตกร้าวและการหดตัวของกระดูกจากการถูกความร้อนที่อุณหภูมิ 200-300 องศาเซลเซียส มีการนำชิ้นส่วนกระดูกไปตรวจพบความสัมพันธ์ทางพันธุกรรม (DNA)กับแม่ของบิลลี่ โดยกระดูกที่พบ เป็นชิ้นส่วนสำคัญของร่างกาย ซึ่งอาจประเมินได้ว่า บิลลี่น่าจะเสียชีวิตแล้ว
19 พ.ย.2562 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อนุมัติหมายจับนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร และพวกรวม 4 คน คดีฆาตกรรมนายพอละจี ขณะที่นายชัยวัฒน์ ให้สัมภาษณ์ว่าเตรียมมอบตัวกับดีเอสไอวันนี้ (12 พ.ย.2562)
20 - หลังสามีหายตัวไปนานหลายปี อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ มึนอ ก็ได้รู้แน่ชัดแล้วว่า บิลลี่ ไม่มีวันจะได้กลับบ้านมาหาเธอและลูก...อีกแล้ว
สุดท้ายวันนี้
15 ส.ค.65 อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง “ชัยวัฒน์” พร้อมพวก 4 ราย ในข้อหาร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คดี "บิลลี่ พอละจี ” ชาวกะเหรี่ยงบางกลอย
หลังจากนี้ คงต้องติดตามบทสรุปของคดีนี้อย่างใกล้ชิด สุดท้ายแล้วพยานหลักฐานที่มี จะสามารถคืนความเป็นธรรมให้กับผู้ตายได้จริงหรือไม่ ... ??