ก่อนอื่นต้องย้อนความเล็กน้อย คือเรื่องนี้แยกออกเป็น 2 ประเด็น คือหนึ่ง กรณี สตง.เข้าไปตรวจการอยู่จริงของครุภัณฑ์ในโครงการพัฒนาแอพพลิเคชั่นเฉลิมพระเกียรติ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตอนแรกพบปัญหาไม่มีครุภัณฑ์ให้ตรวจ จึงทำหนังสือให้นายทหารยศพันเอก ทีเป็นหัวหน้าโครงการ ส่งหนังสือชี้แจง และนำครุภัณฑ์ไปให้ตรวจ ประเด็นนี้ ผบ.ทบ.ออกมาแถลงยืนยันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ครุภัณฑ์อยู่ครบ สาเหตุที่ตรวจตอนแรกไม่เจอ เนื่องจากหน่วยงานวิจัยของกองทัพหน่วยนี้ ไม่มีคลังเก็บครุภัณฑ์ ทำให้กำลังพลต้องนำครุภัณฑ์ไปเก็บที่บ้าน
และขณะที่ สตง.เข้าไปตรวจ นายทหารยศพันเอก หัวหน้าโครงการ ลางานไปต่างประเทศ จึงทำหนังสือให้ชี้แจงซ้ำ ประเด็นนี้จบแล้วแต่อีกประเด็นที่ยังไม่จบ คือ กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง
ล่าความจริงพบข้อมูลว่า นายทหารยศพันเอกคนนี้ เป็นหัวหน้าโครงการวิจัย 4 โครงการ งบประมาณทั้งสิ้น 22 ล้านบาทเศษ แต่มีการสั่งซื้อครุภัณฑ์บางอย่างจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งมีชื่อนายทหารยศพันเอก เป็นกรรมการเอง ทำให้เกิดคำถามว่า เป็นประเด็น "ผลประโยชน์ทับซ้อน" หรือไม่ล่าสุด "ทีมล่าความจริง" ได้ขอสัมภาษณ์เรื่องนี้กับ ผบ.ทบ. พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า นายทหารยศพันเอก เปิดบริษัทรับงาน และขายครุภัณฑ์ให้กับหน่วยวิจัยของกองทัพ ในโครงการที่ตนเองเป็นผู้ดูแล ปรากฏว่า ผบ.ทบ.ตอบว่า จากการตรวจสอบทราบว่า พันเอกรายนี้ได้ลาออกจากบริษัทแล้ว และการที่ซื้อของจากบริษัทของนายทหารยศพันเอก ก็ได้ของที่ดีและราคาถูกกว่าท้องตลาด และจนถึงขณะนี้ทาง สตง.ก็ยังไม่ได้ทำหนังสือมายังกองทัพบกเพิ่มเติมแต่อย่างใดก็สรุปว่าผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุดของกองทัพบก ยืนยันว่าไม่ผิด เป็นข้าราชการ เปิดบริษัทมาขายของให้หน่วยตัวเองได้ ที่บอกว่าลาออกแล้ว ก็มีข่าวว่าเพิ่งลาออก และบริษัทนี้ กรรมการอีกคนก็ยังเป็นภรรยาของนายทหารยศพันเอกด้วย ก็ต้องรอดูว่าทาง สตง.จะว่าอย่างไร เพราะกองทัพเขาบอกไม่ผิด