svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

Stanley Druckenmiller เดินหน้าซื้อทองคำ ชี้ราคาตกถึงจุดต่ำสุดแล้ว

Druckenmiller กูรูผู้บริหารเฮดจ์ฟันด์เปลี่ยนใจหันมาลงทุนในทองคำขณะนี้ โดยให้เหตุผลว่า "เป็นเพราะราคาทองได้ตกต่ำลงไปมากแล้ว ถึงเวลาที่จะเข้าไปซื้อ" หลังจากที่เขาตัดสินใจทิ้งทองคำจนหมดพอร์ตในวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ขณะที่ราคาทองมีการปรับตัวขึ้นที่ 1,241 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนย่อตัวลงซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (9 ก.พ.) ในตลาดค้าทองเอเชียที่ 1,238 ดอลลาร์ โดยที่ราคาทองปรับขึ้นมาแล้ว 10% จากที่ร่วงลงต่ำสุดในเดือนธันวาคมที่ 1,057 ดอลลาร์

ขณะที่ตลาดบอนด์ยังคงผันผวนในการประมูลล่าสุด บอนด์ยีลด์ 10 ปีของสหรัฐร่วงลงที่ 2.29% เทียบกับการประมุลครั้งก่อนที่ 2.51% เหตุกังวลต่อนโยบายของทรัมป์และปัญหา Brexit ซึ่งส่งผลต่อเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงถึง 17% ในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ ดอลลาร์ทรงตัวขณะนี้ที่ Dollar Index 100.29 ส่วนดาวโจนส์พลิกร่วงลงจากแรงเทขายหุ้นแบงก์ขนาดใหญ่ของสหรัฐเพื่อทำกำไร หลังจากในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ที่เกิดวิกฤติการเงินมีการซื้อคืนหุ้นแบงก์ (Buy Back) ตลอดมา ตามด้วยการขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นอสังหาริมทรัพย์ และหุ้นวัสดุอุปกรณ์โครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน

1.Stanley Druckenmiller เคยเป็นผู้บริหารกองทุนขนาด 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ช่วงปี 1981 ก่อนที่จะไปบริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Quantum Fund ให้กับจอร์จ โซรอส ในช่วงปี 1988-2000 ซึ่งเป็นหนึ่งหลายกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่โจมตีเงินบาท เงินวอนเกาหลี เงินริงกิตมาเลเซีย จนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ต่อมาออกมาบริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์อิสระโดยทำกำไร 260 ล้านดอลลาร์จากช่วงเกิดวิกฤติการเงินสหรัฐในปี 2008
Druckenmiller บอกว่าเขามองมุมบวกในนโยบายเศรษฐกิจในเรื่องปฏิรูปภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ขณะที่ในช่วงที่ผ่านมาทั้งธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางสหรัฐออกมาเตือนว่า ภาวะเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตอาจต้องตกราง ทำให้เขาตัดสินใจลงทุนซื้อทอง
โดยเขาอธิบายว่าในช่วงที่ขายทิ้งทองนั้นเพราะเป็นช่วงที่สิ้นสุดการลงทุนในช่วง 2 ปี รวมทั้งได้ขายบอนด์สหรัฐ บอนด์เยอรมัน และบอนด์อิตาลี ในตลาดล่วงหน้า แต่การหันกลับมาลงทุนในทองอีกครั้ง เป็นเพราะราคาทองได้ตกต่ำลงไปมากแล้ว และถึงเวลาที่จะเข้าไปซื้อเท่านั้นเอง
ขณะที่ราคาทองมีการเคลื่อนไหวจากระดับ 1,334 ดอลลาร์ต่อออนซ์หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งเพียง 1 วันหลังจากนั้นราคาทองร่วงลงจนถึงจุดต่ำสุดที 1,057 ดอลลาร์ จากนั้นปรับตัวขึ้นมาล่าสุดที่ 1,238-1,241 ดอลลาร์ขณะนี้


2.ดาวโจนส์ปิดตลาดเมื่อวันพุธร่วงลงกว่า 30 จุดมาอยู่ที่ระดับ 20,050 สาเหตุจากการดัมพ์ขายหุ้นแบงก์ขนาดใหญ่กว่า 100 ล้านดอลลาร์ ทั้งหุ้นของเจพี มอร์แกน โกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนเลย์ นอกจากแรงเทขายเกิดขึ้นกับหุ้นแบงก์ขนาดใหญ่ของสหรัฐเพื่อการทำกำไร หลังจากในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ที่เกิดวิกฤติการเงินมีการซื้อคืนหุ้นแบงก์ (Buy Back) ตลอดมา ยังตามด้วยการขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นอสังหสริมทรัพย์ และหุ้นวัสดุอุปกรณ์โครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน


3.ทางด้านตลาดบอนด์ยังคงผันผวนในการประมูลล่าสุด บอนด์ยีลด์ 10 ปีของสหรัฐร่วงลงที่ 2.29% เทียบกับการประมุลครั้งก่อนที่ 2.51% เหตุกังวลต่อนโยบายของทรัมป์ที่จะส่งผลต่อเงินเฟ้อ และปัญหา Brexit ซึ่งส่งผลต่อเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงถึง 17% โดยที่ส่วนต่างของดอกเบี้ยยังห่างกันถึง 1% เนื่องจากผลตอบแทน 10 ปีของอังกฤษอยู่ที่ 1.287% แต่บอนด์ยีลด์ของสหรัฐ อยู่ที่ 2.486% และอายุ 30 ปีอยู่ที่ 1.987% ในส่วนของเงินปอนด์ และ 3.019% ในส่วนของเงินดอลลาร์ ตามลำดับ ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดปัญหาความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้เช้าวันนี้บอนด์ยีลด์ 10 ปีของสหรัฐยืนที่ 2.33% ก็ตาม


4.ญี่ปุ่นกัดฟันซื้อเงินเยน พร้อมขายบอนด์ดอลลาร์บางส่วนจากจำนวนที่ถืออยู่ในมือกว่า 1.12 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยให้เงินดอลลาร์อ่อนตัวลงโดย Dollar Index ค่อยๆ อ่อนค่าลงหลังจากที่พุ่งขึ้นแตะ 103.99 ในช่วงวันที่ 20 ธันวาคมปีที่แล้ว และร่วงหลุดลงมาที่ 99.50 เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมาก่อนทรงตัวที่ 100.29 ในวันนี้
แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกลับทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นที่ระดับ 112 และมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นไปที่ 109.90 ทางเทคนิค โดยตลาดคาดว่าการที่ญี่ปุ่นยอมให้เงินเยนแข็งค่าทั้งที่ไม่ส่งผลดีต่อการส่งออกเลย โดยเมื่อสัปดาห์ก่อนทรัมป์และทีมงานได้ออกมากล่าวญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในสามประเทศที่ทำการลดค่าเงิน เพื่อให้เกิดความได้เปรียบทางการค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับสหรัฐ โดยอีก 2 ประเทศที่ถูกกล่าวหาด้วยก็คือ จีนและเยอรมัน


5.สหรัฐนำน้ำมันในคลังสำรองทางด้านยุทธศาสตร์ออกมาขายถึง 10 ล้านบาร์เรลในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ส่งผลราคาน้ำมัน WTI ที่ปรับตัวขึ้นไปที่ 54-55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงต้นเดือนนี้ ร่วงลงมาแตะที่ 51 ดอลลาร์ก่อนที่ยืนเหนือ 52 ดอลลาร์ในวันนี้
ทำให้ตลาดเกิดความสงสัยในการนำน้ำมันที่อยู่ในคลังสำรองทางด้านยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ซึ่งจัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1973 เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ จนถึงล่าสุดมีปริมาณสูงถึง 700 ล้านบาร์เรล โดยเก็บไว้ที่เท็กซัสและหลุยส์เซียนา แต่ในวันนี้กลับมีการนำน้ำมันดังกล่าวออกมาจำหน่าย