ร่วมกันแถลงผลการจับกุมตัวนายกิตติกร วิกาหะ อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 253 หมู่3 ต.ตาพระยา อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ผู้ต้องหาฆ่าชิงทรัพย์ บัณฑิต"มศว"ลูก ดร. พร้อมของกลาง รถ จยย.ยามาฮ่า เอ็มแสลช ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน มีดทำครัวปลายแหลม ยาวประมาณ 10 นิ้ว 1 เล่ม หมวกกันน็อกแบบครึ่งใบ สีดำ 1 ใบ ปืนอัดลม 1 กระบอก โทรศัพท์ไอโฟน 6 สีขาว 1 เครื่อง โทรศัพท์ไอโฟน 5 เอส สีขาว 1 เครื่อง โทรศัพท์ซัมซุง สีขาว 1 เครื่อง ไอแพ็ด สีดำ 1 เครื่อง บัตรเอทีเอ็ม 1 ใบ กุญแจรถ 1 พวง และเงินสด จำนวน 340 บาท โดยสามารถจับกุมได้ที่บริเวณหมู่บ้านเคหะเอื้ออาทร ซอยวัดกู้ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เมื่อเวลา 22.00 น.วันที่ 5 ม.ค. ที่ผ่านมา
พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจากมีเหตุคนร้ายบุกเข้าทำร้ายร่างกายก่อนจะฆ่าชิงทรัพย์ นายวศิน เหลืองแจ่ม อายุ 26 ปี บัณฑิตหนุ่มจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ อดีตทำงานพนักงานภาคพื้นดินของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งภายในสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วเตรียมจะเข้าสอบเป็นนักบินพลเรือน พร้อมทั้งยังเป็นบุตรของ "ดร." โดยสภาพศพถูกแทงด้วยอาวุธมีดเข้าตามร่างกายหลายแผล โดยเฉพาะที่บริเวณลำคอถูกแทงแผลฉกรรจ์ ที่บริเวณ ซอยสุคนธสวัสดิ์ 27 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ เมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 4 ม.ค. ที่ผ่านมา กระทั่งมีการเผยแพร่คลิปภาพจากกล้องวงจรปิด ที่สามารถบันทึกเหตุการณ์คนร้ายจ้วงแทงอย่างอุกอาจ จนผู้ตายล้มลงไปกองกับพื้นอย่างไม่แยแสแต่อย่างใด
พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของตำรวจ บช.น.ไม่สบายใจที่มีคลิปปรากฎขึ้น ภายหลังเกิดเหตุ ได้สั่งการให้ตำรวจหลายภาคส่วนสนธิกำลังร่วมกันทำงาน อาทิเจ้าตำรวจ บก.สส.บช.น. ตำรวจ กก.สส.บก.น.2 ตำรวจ กก.สส.บก.น.4 ตำรวจ ฝ่ายสืบสวน สน.โคกคราม และตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.โชคชัย จนกระทั่งพบเบาะแสว่าคนร้ายรายนี้ได้หลบหนีไปกบดาลใน จ.นนทบุรี ชุดจับกุมจึงเดินทางไปเฝ้าสังเกตุการณ์ จนเมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. สามารถจับกุมคนร้ายไว้ได้พร้อมของกลาง แล้วรีบนำตัวมาสอบสวน ที่สน.โคกครามทันที
จากการสอบสวนนายกิตติกร ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ตนเพิ่งออกจากเรือนจำมาเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ปี59 ก่อนมาทำอาชีพขายผลไม้ อยู่บริเวณวัดกู้ เงินไม่พอใช้ ยิ่งขายยิ่งเป็นหนี้ จึงชักชวนกับเพื่อนอีกรายที่รู้จักกันในเรือนจำมาตระเวนก่อเหตุลักษณะดังกล่าวประทังชีวิต โดยมักจะเลือกเหยื่อที่เดินตามท้องถนน ไม่เว้นว่าจะเป็นหญิงหรือชาย แล้วแต่จังหวะ
"ซึ่งตนยอมรับว่าเป็นผู้ใช้มีดแทงผู้ต้องหาจริง เนื่องจากเห็นผู้ตายเดินกดโทรศัพท์มือถือเล่น จึงเข้าไปทำทีตีสนิทแกล้งถามเส้นทาง เมื่อผู้ตายสบโอกาสหันมาคุยด้วย จึงพยายามชิงทรัพย์เข้าแย่งโทรศัพท์มือถือ แต่ทว่าผู้ตายขัดขืน จึงใช้อาวุธมีดที่พกติดตัวมาด้วยแทงไปหลายครั้ง ทั้งนี้ระหว่างยื้อแย่งนั้นตนได้จังหวะแทงไปข้างหน้าเพื่อไม่ให้เหยื่อสู้ได้ ไม่ได้ตั้งใจแทงที่คอ และไม่ได้ตั้งใจให้ถึงแก่ความตาย อีกทั้งมีดเล่มนี้ตนก็ใช้ขายผลไม้ด้วย ทั้งนี้ตนขอยืนยันว่าไม่ได้เมายาเสพติดแต่อย่างใด นักข่าวไปเขียนกันเอง ต้องขอความเห็นใจด้วย"นายกิตติกร กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด
ทั้งนี้คนร้ายรายนี้ยังได้กินยาโซแล่มเข้าไปจนมีอาการมึนเมาก่อนจะร่วมกับเพื่อนที่ยังหลบหนีก่อเหตุก่อนหน้านี้ในค่ำคืน(4ม.ค.)เดียวกัน เริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 22.07 น. พยายามกระชากกระเป๋า เหยื่อหญิงสาว ที่บริเวณซอยสุคนธสวัสดิ์ 27 แต่ไม่ได้ทรัพย์สินไปแต่อย่างใด จากนั้น เวลา 22.15 น. ได้มาก่อเหตุกับผู้ตาย ซึ่งระหว่างการต่อสู้ทำให้คนร้ายทำหมวกกันน็อกตกในที่เกิดเหตุรวมทั้งเสื้อผ้าสวมใส่เปื้อน ต้องไปเปลี่ยนชุดใหม่ ต่อมา เวลา 01.30 น.วันที่ 5 ม.ค. ได้ลงมือก่อเหตุกระชากโทรศัพท์ไอโฟน 5 เอส จากเหยื่อสาว ที่บริเวณซอยสุคนธสวัสดิ์ 9 พื้นที่ สน.โชคชัย และเวลา 02.30 น. คืนเดียวกัน คนร้ายได้ก่อเหตุชิงทรัพย์เหยื่อสาว ได้โทรศัพท์ซัมซุง และเงินสด จำนวน 5,000 บาท ที่บริเวณริมทางเท้า หน้า รพ.สินแพทย์ ก่อนจะแยกย้ายกันไป
นายกิตติกร รับสารภาพอีกว่า ผู้ต้องหาอีกรายที่เป็นเพื่อนของซึ่งเป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ หลังทราบข่าวจากสื่อว่านายวศิน เสียชีวิต ได้มีการส่งข้อความผ่านเฟซบุ๊กมาหาตนว่าให้นำเงินทรัพย์สินที่ได้มาจากการก่อเหตุมาให้ด้วย แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธไปเนื่องจากไม่มี หลังจากนั้นไม่สามารถติดต่อได้อีก
โดย พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวอีกว่า อยากจะขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้ร่วมก่อเหตุอีกรายเข้ามามอบตัวโดยเร็ว ขณะนี้ทราบแล้วว่าเป็นผู้ใด อีกทั้งหากใครให้ที่พักพิงให้แจ้งเบาะแสมาที่ตำรวจ เพราะอาจจะมีความผิดอีกด้วย
อย่างไรก็ตามทางตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อต่อคำให้การ เนื่องจากคนร้ายรายนี้เมื่อทำการตรวจสอบประวัติ พบว่าติดคุกมา 8 ครั้ง ตั้งแต่อายุ13 ปี อาทิ คดีจำหน่ายสิ่งลามกอนาจาร คดีเกี่ยวกับยาเสพติด คดีบุกรุก คดีทำร้ายร่างกายและล่าสุด คดีร่วมกันผลิตน้ำพืชกระท่อม แล้วเพิ่งออกมาจากเรือนจำ เมื่อปลายปีที่ผ่านมานี้ เบื้องต้นแจ้งข้อหา"ร่วมกันชิงทรัพย์ โดยใช้ยานพาหนะ คนหนึ่งคนใดมีอาวุธติดตัวไปเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และมีอาวุธติดตัวไปในเมือง ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร" ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป