svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ข่าว

"พลังนักเรียน นักศึกษา : กับการชี้นำสังคม

"พลังนักเรียน นักศึกษา : กับการฟื้นตัวกลับมาชี้นำสังคมการเมืองใหม่อีกครั้ง" บทความของอาจารย์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่เฝ้ามองปรากฏการณ์การเคลื่อนไหว และนำมาเขียนบทความ เพื่อสะท้อนสังคม การเมือง บ้านเราในวันนี้

การออกมาชุมนุมใหญ่เรียกร้องประชาธิปไตยของนักเรียน นักศึกษา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมานี้ กล่าวได้ว่าเป็นการแสดงออกทางการเมืองครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์  ที่เด่นชัดอีกครั้งหนึ่งของเยาวชนคนหนุ่มสาว   เนื่องจากหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 พลังของนักศึกษาในการชี้นำสังคมได้เงียบหายไปเป็นเวลายาวนาน ไม่น้อยกว่า 40 ปี การออกมาชุมนุมในครั้งนี้   นับเป็นการแสดงบทบาทของการกลับมาชี้นำการเปลี่ยนแปลงสังคมและการเมืองอีกครั้งหนึ่ง  อันเกินความคาดหมายของหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงและรัฐบาล   เนื่องจากมีการออกมาแสดงพลังจำนวนมากแน่นขนัดบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และถนนราชดำเนิน

การออกมาแสดงพลังทางการเมืองในครั้งนี้  ได้แสดงให้เห็นถึงการมีพัฒนาการความคิดทางการเมืองแบบก้าวกระโดด กล่าวคือจากเดิมที่เคยถูกปรามาสว่า ขบวนการเยาวชนคนหนุ่มสาวไม่มีพลังใด ๆ ในการเปลี่ยนแปลงสังคม มีความคิดเฉยชาไม่สนใจเรื่องการเมือง มุ่งสนใจแต่เรื่องการหาความสุขสำราญส่วนตัว  หรือสนใจแต่กิจกรรมบันเทิง  และเก็บตัวอยู่ภายในแต่ละสถาบันการศึกษาของตนเอง  มาในวันนี้พวกเขาได้ฟื้นตัวก้าวล้ำไปสู่การมีแนวคิดแบบ "เสรีนิยมใหม่" ซึ่งผู้ใหญ่ในรุ่นเบบี้บูมเมอร์และรุ่นเจนเอ็กซ์ (Gen X) โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีหัวทางอนุรักษ์นิยมยากที่จะเข้าใจแนวความคิด ความต้องการ หรือการให้คุณค่ากับเรื่องอะไร  รวมถึงความรู้สึกเป็นอิสระของพวกเขาได้   และพลังของเยาวชนเหล่านี้จะก่อตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ  หากความรู้สึกอึดอัดและความไม่พอใจที่มีต่อรัฐบาล ซึ่งสั่งสมมายาวนานไม่ได้รับการตอบสนอง หรือไม่ได้รับการแก้ไขจากผู้มีอำนาจรัฐ   การออกมาประท้วงของเยาวชนคนหนุ่มสาวในครั้งนี้   ยังได้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความเสื่อมศรัทธาที่มีต่อรัฐบาลอย่างรุนแรง  และความเสื่อมศรัทธานี้ได้แพร่ขยายออกไปในวงกว้างทั่วประเทศ  โดยผ่านสื่อโซเซียลมีเดียอันเป็นอาวุธที่ทรงพลังของพวกเขา

แนวคิดแบบเสรีนิยมใหม่ที่ว่านี้ สอดคล้องกับผลการศึกษาของนักสังคมวิทยาการเมืองในโลกตะวันตก  ที่พบว่า  ในปัจจุบันมีประเทศจำนวนมากทั่วโลก ที่ประชาชนได้มีการเปลี่ยนแปลงแนวความคิด ความเชื่อ และค่านิยมทางการเมืองไปในแนวทางที่ก้าวหน้าหรือแบบใหม่มากขึ้น  กล่าวคือจากเดิมที่เคยมีความจงรักภักดียินยอมต่อระบบการเมือง (allegiance) แล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่การกล้าตั้งคำถาม กล้าออกมาต่อสู้เรียกร้องในสิ่งที่เห็นว่าไม่ถูกต้องชอบธรรม และกล้ายืนยันในสิทธิของตนเองอย่างชัดเจน  ในการแสดงออกทางการเมืองมากขึ้น (assertiveness) ขณะเดียวกันประชาชนก็เริ่มเกิดความไม่ไว้วางใจต่อผู้ปกครอง และรวมถึงสถาบันทางการเมืองต่างๆ  เนื่องจากเห็นว่า  ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของพวกเขาได้   หรือไม่ช่วยแก้ไขปัญหาให้กับสังคมได้  และประชาชนยังกล้าที่จะออกมาเผชิญหน้ากับกลุ่มชนชั้นนำทางการเมือง ด้วยการเสนอข้อเรียกร้องใหม่ๆที่มาจากความต้องการของพวกเขา ดังเช่นกรณีที่เยาวชนของเราได้ยื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ต่อรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คือ หนึ่ง ให้มีการยุบสภา สอง ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สาม ให้หยุดคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นต้น

นักสังคมวิทยาการเมืองเห็นว่า  ผลจากการเปลี่ยนแปลงในระบบความเชื่อ และค่านิยมทางการเมืองที่เป็นไปในทางก้าวหน้ามากขึ้นเช่นนี้ ในท้ายที่สุดจะทำให้ระบอบประชาธิปไตยทำงานได้ดี ทั้งในแง่ของการทำให้พวกชนชั้นนำที่มีอำนาจมีความรับผิดชอบต่อประชาชนมากขึ้น และยังทำให้ระบบการเมืองการปกครองมีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพมากขึ้นเช่นกัน และในสังคมที่ประชาชนตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่ตนเองสามารถกระทำให้เกิดขึ้นได้ สังคมที่ประชาชนเริ่มมีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจมากขึ้น สังคมที่ประชาชนได้รับการศึกษาและมีข้อมูลข่าวสารมากขึ้น มีเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัย  ทั้งหมดนี้จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหมู่พลเมืองแบบใหม่  และยังเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดการพัฒนาประชาธิปไตยมากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจหยุดยั้งได้   แน่นอนในบางช่วงเวลาและสถานการณ์    กลุ่มของพลเมืองแบบใหม่นี้อาจมีการต่อสู้และปะทะกันทางความคิด  กับพวกที่ต้องการรักษาสถานภาพเดิม หรือพลังอนุรักษ์นิยมบ้าง ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นได้ทั่วไป  ดังเช่นที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยขณะนี้ อย่างไรก็ดี จากการเข้าร่วมอย่างขนานใหญ่ หรือถ้ามีพลังมากพอของพลเมืองแบบใหม่เหล่านี้  ในท้ายที่สุดจะทำให้ข้อเรียกร้องต่างๆของพวกเขา ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในนโยบายของรัฐบาล หรืออาจเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวรัฐบาลได้
 

เมื่อหันมามองสถานการณ์ในเมืองไทย เราต้องไม่มองว่าเยาวชนที่ตื่นตัวทางการเมืองเหล่านี้ เป็นคนที่คิดร้ายทำลายชาติ หรือเป็นพวกไม่จงรักภักดีต่อสถาบันฯ แท้ที่จริงแล้วการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  การที่เยาวชนหันมาสนใจเรื่องการเมืองนับว่าเป็นสิ่งที่ดี   เนื่องจากการเมืองเป็นเรื่องของเราทุกคน   ประเทศจะพัฒนาไปไม่ได้ถ้าเยาวชนในชาติสนใจแต่ปัญหาเรื่องผลประโยชน์ของตัวเอง    และเยาวชนคนหนุ่มสาวที่ตื่นตัวสนใจการเมืองกลุ่มนี้   ในที่สุดจะกลายเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป  และในการเรียนรู้ของเด็กยุคใหม่  เขาไม่จำเป็นต้องรอการบอกเล่าจากผู้ใหญ่  พวกเขาสามารถหาความรู้ได้เอง คิดเองได้ บางครั้งเขากล้าตั้งคำถามได้อย่างแหลมคมมากกว่าผู้ใหญ่บางคน







ที่น่าสนใจคือ ในการต่อสู้ทางการเมืองอย่างสันติของพวกเขา เขาใช้การต่อสู้เชิงสัญญลักษณ์ในรูปแบบต่างๆ  ที่คู่ขนานพร้อมไปกับการเรียกร้องประชาธิปไตย เช่น การชูสามนิ้ว การชูกระดาษเปล่า กิจกรรมวิ่งร้องเพลง และการติดริบบิ้นสีขาว ฯลฯ ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า พวกเขาพยายามปลดแอกจากการที่ต้องตกอยู่ภายใต้วัฒนธรรมทางการเมืองแบบอำนาจนิยมมายาวนาน  อันเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองหรือระบบที่ไม่เคยเปิดโอกาส  หรือปิดกั้นไม่ให้เขาได้พูดหรือแสดงออกมาก่อน  และในการต่อสู้ทางการเมืองก็ไม่จำป็นต้องมีแกนนำที่ผูกขาดตลอดกาล  ไม่จำเป็นต้องมีแม่ยก  แต่ใช้การระบบการสื่อสารสมัยใหม่ในการติดต่อกับสมาชิก

 รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยและในฐานะผู้ปกครอง ต้องมีความเข้าใจถึงพลวัตรหรือการเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมืองเช่นนี้ เพื่อให้การบริหารบ้านเมืองเป็นไปด้วยดี  หากผู้มีอำนาจยังขาดความรู้และความเข้าใจ  และหันมาใช้กำลังความรุนแรงหรือใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม  เข้าจัดการกับกลุ่มเยาวชนคนหนุ่มสาวเหล่านี้   นอกจากเป็นการทำลายเมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตยที่สร้างสรรค์แล้ว ยังอาจทำให้ปัญหาบานปลายเกิดขึ้นได้

รศ.ดร. พรอัมรินทร์  พรหมเกิดคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่นโทร 084-115-5583, E-mail; [email protected]