ดัชนี S&P500 ลดลง 2.1% ทันทีที่เปิดตลาดในเช้าวันที่ 10 เมษายนตามเวลาสหรัฐฯ ส่วนดัชนี Dow Jones ลดลง 1.6% และดัชนี Nasdaq ร่วง 2.8% แตกต่างจากตลาดหุ้นในยุโรปและเอเชีย ที่ปรับตัวสูงขึ้นขานรับข่าวที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศระงับการเก็บภาษีตอบโต้กับราว 60 ประเทศและดินแดนเป็นเวลา 90 วัน แต่กลับปรับขึ้นภาษีกับจีนเป็น 125%
นักวิเคราะห์ มองว่า ตลาดยังมีความกังวลต่อความไม่แน่นอนของภาพรวมเศรษฐกิจในระยะกลาง และธุรกิจกำลังทบทวนว่า การตัดสินใจของทรัมป์ล่าสุดมีผลอย่างไรต่อพวกเขา
นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ลดลง 4.6% เป็น 59.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากพุ่งขึ้นเมื่อวันพุธ เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลว่า สงครามการค้าของทรัมป์จะฉุดเศรษฐกิจโลก และทำให้ความต้องการน้ำมันลดลง
ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ประจำเดือนมีนาคมลดลงกว่าที่คาดไว้ โดยอยู่ที่ 2.4% ลดลงจาก 2.8% เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ แต่ตัวเลขนี้สะท้อนสถานการณ์ช่วงก่อนการขึ้นภาษีศุลกากรหลายระลอกเริ่มมีผลบังคับใช้ และนักวิเคราะห์เตือนว่า การขึ้นภาษีอาจทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น และบริษัทต่าง ๆ จะผลักดันต้นทุนจากภาษีด้วยการขึ้นราคาสินค้าทำให้ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้น
เควิน แฮสเสตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า การตัดสินใจระงับการเก็บภาษีตอบโต้นาน 90 วันเป็นผลมาจากการเจรจาที่ดี และมีเกือบ 15 ประเทศ ที่ยื่นข้อเสนออย่างชัดเจนแก่สหรัฐฯ แล้ว และหน่วยงานของเขากำลังศึกษา พิจารณา และตัดสินใจว่า ข้อเสนอดีพอจะแจ้งต่อประธานาธิบดีทรัมป์หรือไม่ โดยคาดว่า จะมีผู้นำโลกทยอยเดินเยือนทำเนียบขาวในช่วงหลายสัปดาห์ข้างหน้า
นอกจากนี้เขาเปิดเผยว่า จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ และหนึ่งในประเด็นที่จะหารือ คือ สหรัฐฯ ควรทำข้อตกลงการค้ากับพันธมิตรเพื่อหาแนวร่วมรับมือกับจีนหรือไม่
ในขณะที่จีนยืนยันต่อสู้กับการขึ้นภาษีของทรัมป์จนถึงที่สุด แม้ยังเปิดทางการเจรจาบนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกันด้วยความเท่าเทียม และหวังให้สหรัฐฯ ตกลงพบกันครึ่งทาง