หากกล่าวถึงเครื่องดื่มสากลที่ผู้คนทั่วโลกต่างรู้จักและนิยมบริโภคมากที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็น "กาแฟ" เสน่ห์ความขมที่กลายเป็นรสนิยมอย่างหนึ่ง มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกว่า การดื่มกาแฟได้ปรากฏขึ้นราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 ณ วิหารซูฟี ประเทศเยเมน ตั้งอยู่ในแถบอาระเบีย นับเป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้และเก่าแก่ที่สุด โดยช่วงเวลานั้นผู้คนก็เริ่มปลูกต้นกาแฟขึ้นมาในยุคแรก และแพร่ขยายออกไปในโลกอาหรับ ก่อนจะแพร่หลายต่อไปยังทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในระหว่างที่กาแฟเดินทางจากทวีปอเมริกาเหนือสู่ทวีปยุโรป กาแฟได้ถูกส่งผ่านไปยังซิซิลี และอิตาลี ในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 จากนั้นผ่านตุรกี ไปยังกรีซ ฮังการี และออสเตรีย แล้วต่อมาก็ได้แผ่ขยายไปยังทวีปเอเชีย โดยเฉพาะดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใกล้เส้นศูนย์สูตร อย่างประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย
คนทั้งโลกชอบดื่ม “กาแฟ” ขนาดไหน
กาแฟจัดว่าเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งจากการจัดอันดับในปี 2021 เมล็ดกาแฟถูกจัดให้เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งเป็นรองแค่น้ำมันเท่านั้น โดยในแต่ละปีจะมีเมล็ดกาแฟจำนวน 110-120 ล้านกิโลกรัม ถูกขายออกสู่ตลาดทั่วโลก ซึ่งสามารถชงกาแฟได้ประมาณ 4 แสนล้านแก้วต่อปี!
และหากเจาะลึกลงไป ประเทศที่นิยมดื่มกาแฟมากที่สุด คิดตามสัดส่วนของประชากรแต่ละประเทศต่อเมล็ดกาแฟ ได้แก่
อันดับ 1 ฟินแลนด์ (12 กิโลกรัมต่อคนต่อปี)
อันดับที่ 2 นอร์เวย์ (9.6 กิโลกรัมต่อคนต่อปี)
อันดับที่ 3 ไอซ์แลนด์ (8.9 กิโลกรัมต่อคนต่อปี)
อันดับ 4 เดนมาร์ก (8.6 กิโลกรัมต่อคนต่อปี)
อันดับ 5 เนเธอร์แลนด์ (8.4 กิโลกรัมต่อคนต่อปี)
อันดับที่ 10 แคนาดา (6.4 กิโลกรัมต่อคนต่อปี)
อันดับ 12 บราซิล (5.8 กิโลกรัมต่อคนต่อปี)
อันดับที่ 25 สหรัฐอเมริกา (4.2 กิโลกรัมต่อคนต่อปี)
ส่วนประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 41 ของโลก (1.6 กิโลกรัมต่อคนต่อปี)
จากภาพรวมทำให้สรุปได้ว่าทวีปที่คลั่งไคล้การดื่มกาแฟมากที่สุดคือ ยุโรป รองลงมาคือ อเมริกา เอเชีย แอฟริกา และออสเตรเลีย ตามลำดับ
สถิติน่าสนใจเกี่ยวกับกาแฟ
กาแฟกับสุขภาพ
แม้จะมีงานศึกษามากมายที่บ่งบอกถึงประโยชน์ด้านต่างๆ ของกาแฟที่มีต่อสุขภาพ แต่ในอีกด้านของเครื่องดื่มที่คนนิยมดื่มกันทั้งวันทั่วโลกนี้ก็มีผลเสียต่อสุขภาพด้วย เพราะในกาแฟมี Oily Compound หรือสารประกอบที่มีความมันอย่าง Diterpene ซึ่งเพิ่มระดับคลอเรสเตอรอลในร่างกายรวมอยู่ด้วย ซึ่งคลอเรสเตอรอลสามารถทำให้เส้นเลือดอุดตัน เป็นปัจจัยให้เกิดอาการเส้นเลือดในสมองแตก รวมทั้งโรคหัวใจได้ นักวิจัยในนอร์เวย์จึงทำการศึกษาเพื่อดูว่ากาแฟแบบใดที่มีสารนี้อยู่น้อยหรือเป็นมิตรกับสุขภาพผู้ดื่มมากที่สุด
ศาสตราจารย์ มาจา-ลิซา โลเคน แพทย์โรคหัวใจและทีมงานจากมหาวิยาลัย UiT Artic University ในนอร์เวย์ได้ทำการศึกษาเพื่อดูว่ากาแฟประเภทใดที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่ากัน รวมทั้งความแตกต่างที่เกิดขึ้นต่อสุขภาพระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง โดยการถามคำถามต่างๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมการดื่มกาแฟ ความสูง น้ำหนัก ค่าความดันโลหิต ตัวอย่างการวิเคราะห์เลือด รวมไปถึงปัจจัยด้านอื่นๆ อย่างการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การศึกษา กิจกรรมทางร่างกาย โรคเบาหวาน และโรคหัวใจกับชาวนอร์เวย์วัย 40 ปีขึ้น ไปจำนวน 21,803 คน ซึ่งได้สรุปการศึกษาออกมาเผยแพร่ใน Open Heart วารสารหัวใจและหลอดเลือดหัวใจถึงผลต่อระดับคลอเรสเตอรอลจากกาแฟที่ถูกชงในแบบต่างๆ
วิธีการชงกาแฟมีผลต่อสุขภาพผู้ดื่มมากแค่ไหน
เอสเพรสโซ
เอสเพรสโซเป็นกาแฟที่ชงโดยใช้น้ำร้อนแรงดันสูงผ่านผงกาแฟบดที่ถูกอัดแน่น เป็นกาแฟพื้นฐานสำหรับทำกาแฟอื่นที่คนนิยมดื่ม ไม่ว่าจะเป็นอเมริกาโนซึ่งเป็นกาแฟดำ หรือกาแฟที่มีฟองนมด้านบนอย่างลาเต้และคาปูชิโน ซึ่งในการศึกษาของนักวิจัยจากนอร์เวย์พบว่า ผู้ที่ดื่มเอสเพรสโซ 3-5 แก้วต่อวัน มีระดับคลอเรสเตอรอลสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มอย่างชัดเจน โดยผู้หญิงที่ดื่มกาแฟเอสเพรสโซปริมาณนี้มีระดับคลอเรสเตอรอลสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่ม 0.09 mmol/L หรือมิลิโมลต่อเลือด 1 ลิตร ส่วนผู้ชายที่ดื่มเอสเพรสโซในปริมาณเดียวกันมีระดับคลอเรสเตอรอลในเลือดสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่ม 0.16 mmol/L ขณะที่คลอเรสเตอรอลที่ดีต่อสุขภาพในร่างกายมีน้อยกว่า 5 mmol/L
กาแฟดริป
กาแฟที่ชงผ่านกระดาษกรองมีวิธีการชงง่ายๆ คือให้น้ำร้อนผ่านผงกาแฟบดที่อยู่ในกระดาษกรองลงในภาชนะรองรับ แต่กลับเป็นวิธีที่สามารถกำจัดสารประกอบที่ทำเกิดคลอเรสเตอรอลได้มากที่สุด โดยการศึกษาระบุว่า ผู้ชายที่ดื่มกาแฟชงโดยใช้กระดาษกรองวันละ 6 แก้วหรือมากกว่า ไม่ได้แสดงว่ามีปริมาณคลอเรสเตอรอลโดยเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าปกติ
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟจากการชงลักษณะนี้แสดงให้เห็นว่ามีระดับคลอเรสเตอรอลเพิ่มขึ้น 0.1 mmol/L เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ดื่ม จากผลที่ออกมาศาสตราจารย์โลเคนได้บอกว่า “หากไม่กรองกาแฟจะทำให้มีไขมันจำนวนมากที่ทำอันตรายต่อสุขภาพ” นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาอื่นที่แสดงให้เห็นว่ากาแฟที่ไม่ได้ชงด้วยวิธีการใช้กระดาษกรองจะมีไดเทอร์ฟีนมากกว่าถึง 30 เท่า
กาแฟสำเร็จรูป
บรรดาผู้ที่นิยมความสะดวกในการดื่มกาแฟด้วยลักษณะนี้ ค่อนข้างสบายใจได้ เพราะการศึกษาแสดงให้เห็นว่า กาแฟสำเร็จรูปเพิ่มคลอเรสตอรอลให้ร่างกายน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับกาแฟที่ชงด้วยวิธีอื่น รวมทั้งยังให้ผลที่ไม่แตกต่างกันระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงที่ดื่มกาแฟลักษณะนี้ ซึ่งผู้ทำวิจัยเรื่องนี้ได้บอกว่า “อาจมีบางสิ่งทำกับเมล็ดกาแฟในขั้นตอนการผลิตกาแฟสำเร็จรูปที่กำจัดไขมันออกไป จึงทำให้พบว่ามีคลอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมากในผู้ชายที่ดื่มกาแฟลักษณะนี้”
กาแฟที่ชงโดยหม้อต้ม Cafetiere
กาแฟที่ชงโดยหม้อต้ม Cafetiere จะใช้ผงกาแฟต้มพร้อมกับน้ำ ซึ่งเป็นวิธีการชงกาแฟที่ดีต่อสุขภาพน้อยที่สุด เพราะผู้ที่ดื่มกาแฟลักษณะนี้ 6 แก้วต่อวัน แสดงให้เห็นว่ามีระดับคลอเรสเตอรอลสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่ม 0.23-0.3 mmol/L โดยปริมาณคลอเรสเตอรอลที่เพิ่มขึ้นไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย
จากผลการศึกษานี้ศาสตราจารย์โลเคนได้บอกว่า “ในฐานะแพทย์โรคหัวใจ เมื่อมีคนถามถึงกาแฟที่ควรดื่ม หากเป็นคนมีคลอเรสเตอรอลสูง เคยเกิดอาการหัวใจวาย หรือต้องการลดคลอเรสเตอรอล ก็จะแนะนำกาแฟสำเร็จรูปหรือการแฟที่ชงโดยใช้กระดาษกรอง เพราะมันปลอดภัยที่สุด หากดื่มวันละหลายๆ แก้ว แต่ถ้าคุณไม่ใช่คนที่ดื่มกาแฟมาก แค่เอสเพรสโซแก้วเล็กๆ สักวันละแก้วก็ไม่เป็นไร”