ฤดูร้อนปีนี้อากาศร้อนอุณหภูมิสูงที่สุดในรอบหลายปี ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิมีส่วนทำให้ร่างกายของเราร้อนมากกว่าปกติ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการหรือภาวะต่างๆ ตามมา นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เราต้องรักษาอุณหภูมิของร่างกายเพื่อเลี่ยงอาการขาดน้ำ หรือภาวะผิดปกติต่างๆ เช่น โรคลมแดด หรือฮีทสโตรก
ข้อมูลจากบทสัมภาษณ์ พท.ป.ภัคภร บูรณสันติกูล ประจำวิวัฏฏะคลินิก โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ เผยแพร่ความรู้และวิธีการดูแลสุขภาพในช่วงฤดูร้อนด้วยตัวเองตามหลักของศาสตร์การแพทย์แผนไทยประยุกต์ โดยอธิบายว่าความร้อนที่สะสมภายในร่างกายอาจทำให้เกิดความเจ็บป่วย ไม่สบายเนื้อ-สบายตัว เช่น ปวดศีรษะ วิงเวียน อ่อนเพลีย หน้ามืด เจ็บในช่องปากและลำคอ พบแผลร้อนในช่องปาก เกิดอาการท้องผูก ขับถ่ายลำบาก ทำให้ผิวพรรณแห้งกร้านไม่สดใส เกิดสิวอักเสบขึ้นตามใบหน้า หรือเกิดฝีอักเสบตามลำตัวได้
ยิ่งไปกว่านั้น หากร่างกายของเรามีความร้อนสะสมมากก็จะส่งผลเสียทำให้อวัยวะต่าง ๆ ถูกทำลายจนทำหน้าที่ผิดปกติไป เมื่อร่างกายเกิดการอักเสบบ่อยครั้ง ก็อาจก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยภายในอย่างรุนแรง (เช่น เกิดเนื้องอก หรือมะเร็ง เป็นต้น)
โดยสภาพอากาศร้อนในไทย ยังสามารถมีผลต่อสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน และสามารถก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บตามมา อย่างคาดไม่ถึงได้ เช่น อากาศร้อนจัดสามารถทำให้อาหารเปลี่ยนสภาพได้รวดเร็ว เช่น เกิดการบูดเน่าเสีย ดังนั้น การรับประทานอาหารที่มีเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสปะปน จึงเสี่ยงต่อการเป็น โรคอุจจาระร่วง โรคบิด-อหิวาตกโรค โรคอาหารเป็นพิษ และโรคไทฟอยด์ (โรคไข้รากสาดน้อย)
เมื่อร่างกายต้องอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนจัดสะสมเป็นเวลานาน จะทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หากไม่สามารถระบายความร้อนออกได้ในทันที จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคลมแดด (Heat Stroke) สามารถเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
ไม่ใช่แค่คนที่ร้อน
ในช่วงฤดูร้อนเป็นช่วงที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมักเกิดอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียว ได้ง่าย จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษในเรื่องของ โรคพิษสุนัขบ้า หรือโรคกลัวน้ำ (Rabies) เพราะเมื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข หรือแมวที่ติดเชื้อ กัด ข่วน หรือเลียบริเวณผิวหนังของผู้ที่มีแผล เชื้อไวรัสจะแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ถูกกัด และอาจอันตรายถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้
ภาวะเครียดวิตกกังวล (Stress Disorder) เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในช่วงฤดูร้อน ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ นอนไม่หลับ โมโหและหงุดหงิดง่าย กระทบต่อความสัมพันธ์ของบุคคลรอบข้าง และส่งผลเชิงลบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ซึ่งเป็นเหตุทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรมตามมาค่ะ
รู้จัก ‘ธาตุเจ้าเรือน’ ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยประยุกต์
ก่อนที่เราจะมาเรียนรู้ว่าเราสามารถดูแลสุขภาพของเราตามหลักของธาตุเจ้าเรือนได้อย่างไร เราอาจจะต้องทำความรู้จักธาตุเจ้าเรือนกันก่อนสักเล็กน้อย โดยธาตุเจ้าเรือนแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบ ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ แต่ละธาตุก็จะมีความจำเพาะโดดเด่นที่แตกต่างกัน ดังนี้
ธาตุดิน: รูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำ ผมดกดำ ข้อกระดูกแข็งแรง กระดูกใหญ่ อวัยวะมีความสมบูรณ์ เจ็บป่วยค่อนข้างยาก แต่เมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยส่วนใหญ่มักจะเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากการขาดการดูแลเอาใจใส่ตนเอง เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน เป็นต้น
ธาตุน้ำ: รูปร่างสมบูรณ์ ผิวพรรณสดใสเต่งตึง ท่าทางการเดินมั่นคง พูดจาไพเราะอ่อนหวาน ทำอะไรช้า ๆ เนิบ ๆ สามารถทนความเย็นได้ดีค่ะ เมื่อมีอาการเจ็บป่วย มักเกิดขึ้นที่ระบบทางเดินหายใจ จะมีอาการเป็นหวัด หรือภูมิแพ้อากาศได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป นอกจากนี้ควรระมัดระวังเรื่องระบบเลือดน้ำเหลือง แผลหายช้า และอาการท้องเสีย ท้องร่วง
ธาตุลม: รูปร่างผอมบาง ผิวค่อนข้างแห้ง เป็นคนทำอะไรรวดเร็ว ทนความหนาวไม่ได้ ปัญหาสุขภาพที่มักเกิดกับบุคคลธาตุลม คือ อาการนอนไม่หลับ มีอาการปวดท้อง จุกเสียดแน่นเฟ้อ ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี บางครั้งอาจมีภาวะกรดไหลย้อน มักมีอาการปวดตามตัวและข้อต่อและในผู้ป่วยบางรายให้ระวังเรื่องอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด บ้านหมุน ในช่วงฤดูฝน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ธาตุลมจะกำเริบ
ธาตุไฟ: รูปร่างปานกลาง ผิวมันโดยเฉพาะบริเวณใบหน้า เป็นคนใจร้อน ไฟแรง ทนความร้อนไม่ได้ หิวบ่อย ทานจุ แต่ไม่อ้วน เนื่องจากร่างกายมีระบบเผาผลาญ (Metabolism) ที่ดี ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยก็มักจะเป็น โรคเครียด โรคกระเพาะอาหารอักเสบ เป็นไข้ ตัวรุมอยู่บ่อย ๆ เกิดสิวอักเสบ เป็นฝีหนองตามลำตัว เจ็บคอร้อนใน ท้องผูก เป็นต้น
ช่วงฤดูร้อน ธาตุไฟในร่างกายมีการกำเริบมากกว่าปกติหรือไม่ เพราะอะไร?
ในช่วงฤดูร้อน จะเป็นช่วงเวลาที่สมุฏฐานธาตุไฟ (ปิตตะ) กำเริบ ทั้งนี้เนื่องจากเป็นช่วงที่โลกโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ และประเทศไทยทำมุมตั้งฉากตรงกับดวงอาทิตย์พอดี สภาพอากาศจึงร้อนอบอ้าวมากกว่าปกติ ร่างกายเกิดการสะสมความร้อนเพิ่มขึ้น (หรือ ธาตุไฟกำเริบ) ซึ่งหากไม่สามารถระบายความร้อนออกมาได้จนหมดก็จะทำให้พบปัญหาสุขภาพดังนี้ เช่น เกิดอาการร้อนใน-เป็นแผลในช่องปากบ่อยครั้ง เกิดสิวหรือผดผื่นคันได้ง่าย ท้องผูก ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว เกิดภาวะนอนหลับยาก-นอนหลับไม่สนิท เป็นต้น
อาหาร ผัก ผลไม้ และสมุนไพรที่ช่วยลดธาตุไฟในร่างกาย
การเลือกรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์เย็นจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการดับพิษร้อน และ ลดการสะสมของความร้อนภายในร่างกาย ซึ่งรายการอาหารที่แนะนำมีดังนี้
อาหารที่มีรสจืด-เย็น เช่น ไก่ตุ๋นฟักเขียวมะนาวดอง ผัดบวบใส่ไข่ แกงจืดตำลึงใส่หมูสับ และแกงจืดผักหวานบ้าน ช่วยทำให้ร่างกายเย็นลง ดับพิษร้อนที่สะสมในร่างกาย ลดอาการเป็นไข้-ตัวร้อน
อาหารที่มีรสขมเล็กน้อย-ปานกลาง เช่น ต้มจืดมะระจีนยัดไส้หมูสับ ไข่เจียวดอกแค และใบบัวบกผัดไข่ ก็จะช่วยระบายความร้อน ขับของเสีย และถอนพิษไข้ที่สะสมในร่างกายได้เป็นอย่างดี
กลุ่มผัก-ผลไม้ และ น้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น ก็จัดเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยลดธาตุไฟในร่างกายได้เช่นกัน ยกตัวอย่าง
อาหารที่ควรเลี่ยงเพื่อลดธาตุไฟในร่างกาย
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงช่วงนี้ ได้แก่ อาหารรสจัด (เผ็ดจัด-หวานจัด-มันจัด-เค็มจัด) เพราะจะไปกระตุ้นธาตุไฟให้กำเริบมากขึ้น ทำให้เกิดอาการร้อนใน อักเสบ แผลหายช้าได้
การดูแลสุขภาพโดยทั่วไป เพื่อลดธาตุไฟในร่างกาย ทำได้อย่างไรบ้าง?
“การรักษาตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยประยุกต์ด้วยหลักการของธาตุเจ้าเรือนนี้ ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่คนรักสุขภาพ โดยเริ่มจากการปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมตามแต่ละชนิดของธาตุเจ้าเรือน, เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารแสลงต่อโรค และรับประทานสมุนไพรที่เหมาะต่อธาตุเจ้าเรือน เพียงเท่านี้ก็จะช่วยส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง บรรเทาอาการเจ็บป่วยต่างๆ และ ฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับคืนสู่ภาวะปกติค่ะ” พท.ป.ภัคภร บูรณสันติกูล ประจำวิวัฏฏะคลินิก โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ กล่าวปิดท้าย