อุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization หรือ WMO) ระบุว่า ลานีญา (La Niña) น่าจะกลับมาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยมีโอกาส 60% ที่จะเกิดขึ้นระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน และมีโอกาส 70% ที่จะเกิดขึ้นระหว่างเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน ปีนี้
พร้อมระบุว่าปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) ที่ทำให้เกิดสภาพอากาศและปรากฏการณ์สุดขั้ว เช่น ไฟป่าและพายุไซโคลนเขตร้อนกำลังจะสิ้นสุดลง ซึ่งจะทำให้โลกเย็นลงอีกครั้ง และน่าจะช่วยลดอุณหภูมิโลกลงได้บ้างหลังจากทำลายสถิติการบันทึกอุณหภูมิความร้อนทั่วโลกมาหลายเดือน
แต่ในขณะเดียวกัน WMO ได้เตือนว่าการสิ้นสุดของเอลนีโญไม่ได้หมายถึงการยุติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว เนื่องจากอุณหภูมิโลกจะยังคงอุ่นขึ้นต่อไป เพราะการกระทำของมนุษย์และก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บความร้อน ซึ่งทำให้สภาพอากาศเลวร้ายลงเรื่อยๆ อีกทั้งปริมาณน้ำฝนและอุณหภูมิตามฤดูกาลก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ดร.จีรนุช ศักดิ์คำดวง ผู้เชี่ยวชาญสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI อธิบายความหมายของสองคำนี้ให้ชัดเจนและเข้าใจง่ายๆ ว่า
เอลนีโญ (El Niño) หมายถึง เด็กชายในภาษาสเปน ชาวประมงในประเทศเปรูและเอกวาดอร์ ได้เริ่มใช้คำนี้มาหลายร้อยปีแล้ว เพื่อเรียกปรากฏการณ์ที่น้ำทะเลอุ่นขึ้นผิดปกติในช่วงก่อนเทศกาลคริสมาสต์และทำให้จับปลาได้น้อยลง
ส่วนปรากฏการณ์ที่ตรงข้ามกันเรียกว่า ลานีญา (La Niña) หมายถึงเด็กผู้หญิง ใช้เรียกปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลเย็นลงอย่างเป็นวงกว้าง
นับตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา ปรากฏการณ์เอลนีโญส่งผลให้ทั่วโลกเผชิญกับความแห้งแล้ง ปริมาณฝนต่ำกว่าปกติ และอุณหภูมิสูงกว่าปกติ แต่ในทางกลับกันปรากฏการณ์ลานีญาที่กำลังจะเข้ามาแทนจะทำให้มีฝนตกมากกว่าปกติ และอากาศจะหนาวเย็นกว่าปกติ ปรากฏการณ์ลานีญาเกิดขึ้นได้ทุก 2–3 ปี และปกติจะเกิดขึ้นนานประมาณ 9–12 เดือน แต่บางรอบอาจปรากฏอยู่นานถึง 2 ปี
หน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยาในหลายประเทศคาดการณ์ว่า ผลกระทบจากปรากฏการณ์ลานีญาจะเริ่มเห็นได้ชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2024 ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า สำหรับประเทศไทยนั้นปรากฏการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ปริมาณฝนของประเทศไทยส่วนใหญ่สูงกว่าปกติ โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อนและต้นฤดูฝนของปีหน้าเป็นระยะที่ลานีญามีผลกระทบต่อปริมาณและความชุกของฝนของประเทศไทยชัดเจนกว่าช่วงอื่น และทุกภาคของประเทศจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าปกติในทุกฤดู ซึ่งหากปรากฏการณ์ลานีญาที่จะเกิดขึ้นมีกำลังปานกลางถึงรุนแรง จะส่งผลให้ปริมาณฝนของประเทศไทยสูงกว่าปกติมากขึ้นและเผชิญกับอุณหภูมิต่ำกว่าปกติมากขึ้น
เทคโนโลยีในปัจจุบันที่สามารถพยากรณ์สภาพอากาศได้แม่นยำและทันต่อเหตุการณ์ช่วยให้ประชาชนทั่วไปและผู้มีหน้าที่ในการวางแผนและกำหนดนโยบายสามารถเตรียมความพร้อมเพื่อตั้งรับกับผลกระทบจากปรากฏการณ์ลานีญาได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเมือง ชนบท ภาคเกษตรกรรม หรือการเตรียมพร้อมรับภัยพิบัติที่จะเกิดจากปริมาณน้ำฝน เช่น น้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก หรือดินโคลนถล่ม
ดร.จีรนุช ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงการเตรียมพร้อมในส่วนของเมืองสามารถเน้นไปที่การเตรียมตัวรับมือกับปริมาณน้ำฝนที่จะเพิ่มมากขึ้น ปรับปรุงและขุดลอกระบบระบายน้ำและคูคลอง เพราะการจัดหาพื้นที่ลุ่มรับน้ำในเขตเมืองอาจไม่ใช่เรื่องง่าย ขณะเดียวกันพายุฝนที่บางครั้งมาพร้อมกับลมกระโชกแรงอาจทำความเสียหายต่อป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่ไม่แข็งแรง ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น ซึ่งผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องต้องเร่งกวดขันเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ลานีญาจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชนบทและพื้นที่เกษตรกรรมเป็นวงกว้าง เกษตรกรอาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนชนิดของพืชที่ปลูกเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นและอุณหภูมิที่จะลดต่ำลงในช่วงของปรากฏการณ์ดังกล่าว
จะเห็นได้ว่านอกจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและภาคการผลิตของประเทศแล้ว ปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญาก็เป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดสภาพอากาศสุดขั้วและความแปรปรวนของสภาพอากาศ การเตรียมพร้อมรับมือที่ดีคือการทำความเข้าใจ สร้างความรู้แก่สังคมในวงกว้างไม่ตื่นตระหนกและหาแนวทางปรับตัวที่เหมาะสมภายใต้สภาพแวดล้อมของตน