svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

ปธน.ใหม่ศรีลังกาสาบานตน สัญญาสร้างการเมืองใหม่ขาวสะอาด

นักการเมืองแนวคิดมาร์กซิสต์ของศรีลังกา คว้าชัยชนะถล่มทลายในการเลือกตั้งประธานาธิบดี และสาบานตนรับตำแหน่งแล้ว โดยให้คำมั่นสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองใหม่ที่ปราศจากคอร์รัปชัน ขณะประเทศกำลังเผชิญวิกฤษเศรษฐกิจครั้งเลวร้ายที่สุดของประเทศ

อนุรา กุมาร ดิสนายาเก วัย 55 ปี นักการเมืองที่มีแนวคิดมาร์กซิสต์ จากพรรคแนวร่วมปลดปล่อยประชาชน  (JVP) สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันจันทร์ (23 กันยายน) หลังจากชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ด้วยคะแนนเสียงถล่มทลาย 1.3 ล้านคะแนน และนักวิเคราะห์มองว่า ชัยชนะของเขาสะท้อนเสียงของประชาชนที่ต่อต้านคอร์รัปชันและระบบพวกพ้อง ที่กัดกินประเทศมายาวนาน

เขาประกาศให้คำมั่นว่า จะพยายามอย่างที่สุดเพื่อปกป้องประชาธิปไตย และจะสร้างวัฒนธรรมการเมืองใหม่ที่ขาวสะอาด  ตลอดจนเรียกคืนความเคารพและความศรัทธาของประชาชนในระบบการเมือง

ดิสนายาเกได้รับการประกาศเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องจัดการนับคะแนนเลือกตั้งรอบสองอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเมื่อวันอาทิตย์ เนื่องจากไม่มีผู้สมัครคนใดได้คะแนนเสียงเกิน 50% โดยดิสนายาเก ได้ 42.31% และซาจิธ เปรมาดาซา ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน ได้ 32.76%  และผลการนับคะแนนใหม่ ปรากฏว่า ดิสนายาเก ชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงกว่า 5.7 ล้านเสียง ทิ้งห่างเปรมาดาซา ที่ได้ 4.5 ล้านเสียง

เขาออกแถลงการณ์หลังทราบผลเลือกตั้งว่า ชัยชนะครั้งนี้เป็นของทุกคน และเรียกร้องให้ประชาชนร่วมกันเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของประเทศ

ปธน.ใหม่ศรีลังกาสาบานตน สัญญาสร้างการเมืองใหม่ขาวสะอาด

การเลือกตั้งเมื่อวันเสาร์จัดขึ้นเป็นครั้งแรกนับจากกระแสความไม่พอใจของวิกฤตเศรษฐกิจทำให้มวลชนออกมาประท้วงขับไล่ประธานาธิบดีโกตาบายา ราชปักษา พ้นจากตำแหน่งได้สำเร็จในปี 2565

และภายใต้การบริหารช่วงสองปีต่อมาของประธานาธิบดีรานิล วิกรมสิงเห ศรีลังกาสามารถกลับเข้าสู่ความสงบ และสามารถเจรจาจนได้รับเงินกู้ 2,900 ล้านดอลลาร์จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ IMF เพื่อชุบฟื้นเศรษฐกิจที่เผชิญวิกฤตครั้งเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ

ขณะที่ดิสนายาเกหาเสียงเลือกตั้ง โดยชูประเด็นการสร้างธรรมาภิบาลและการขจัดคอร์รัปชัน และให้คำมั่นว่าจะฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการพัฒนาภาคการผลิต การเกษตร และเทคโนโลยี รวมถึงสัญญาปฏิบัติตามเงื่อนไขของ IMF และหาทางบรรเทาผลกระทบที่คนยากจนที่สุดได้รับจากมาตรการรัดเข็มขัดตามเงื่อนไขดังกล่าว