สื่ออิสราเอล ประเมินว่า มีผู้ประท้วงมากถึง 500,000 คน รวมตัวทั้งในเยรูซาเลม, เทล อาวีฟ และอีกหลายเมืองใหญ่เมื่อวันอาทิตย์ (1 กันยายน) เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู เพิ่มความพยายามมากกว่านี้เพื่อนำตัวประกันที่เหลืออีก 101 คน กลับบ้าน ซึ่งทางการอิสราเอล คาดว่า ตัวประกันเกือบหนึ่งในสามอาจเสียชีวิตแล้ว
การประท้วงครั้งนี้เป็นครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งนับจากอิสราเอลเปิดฉากสงครามในฉนวนกาซาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 โดยส่วนใหญ่ดำเนินไปด้วยความสงบเรียบร้อย แต่มีการปะทะระหว่างผู้ประท้วงและตำรวจในบางแห่ง โดยในเยรูซาเลม ผู้ประท้วงรวมตัวปิดกั้นถนน และชุมนุมนอกทำเนียบรัฐบาลเพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก และตำรวจฉีดน้ำสลายผู้ประท้วงที่ปิดกั้นทางหลวงในเทลอาวีฟ
นอกจากนี้สหภาพแรงงานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เรียกร้องให้หยุดงานประท้วงทั่วประเทศครั้งใหญ่ 1 วัน ในวันจันทร์ (2 กันยายน) และสนามบินเบนกูเรียนที่เป็นสนามบินหลักจะปิดตั้งแต่เวลา 8.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยการสไตรก์ครั้งนี้มุ่งชัตดาวน์ประเทศ ที่จะทำให้ภาคส่วนสำคัญในระบบเศรษฐกิจ รวมถึง ธนาคารและโรงพยาบาลต้องปิดทำการหรือหยุดชะงัก
การประท้วงเมื่อวันอาทิตย์มีขึ้นหลังกองทัพเผยเมื่อวันเสาร์ว่า พบศพตัวประกัน 6 รายในฉนวนกาซา ก่อให้เกิดความสิ้นหวังและความโกรธแค้นแก่ครอบครัวของตัวประกันว่า โอกาสที่บุคคลผู้เป็นที่รักของพวกเขาจะได้กลับบ้าน ริบหรี่ลงทุกที และกล่าวโทษว่าเป็นเพราะรัฐบาลยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงเพื่อให้ตัวประกันได้รับการปล่อยตัว
โฆษกกองทัพ เปิดเผยเมื่อวันเสาร์ว่า ทหารสามารถนำศพตัวประกัน 6 ราย ออกจากอุโมงค์ในเมืองราฟาห์ในฉนวนกาซา และนำกลับมาถึงอิสราเอลแล้ว และกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยด้วยว่า ผลการชันสูตร พบว่า ทั้งหมดถูกฆาตกรรมโดยนักรบฮามาส ที่ยิงสังหารระยะเผาขนเพียง 48-72 ชั่วโมง ก่อนหน้าการพบศพ
นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู ประกาศว่าจะไม่ยอมหยุดพักจนกว่าจะนำตัวผู้ที่สังหารตัวประกันมาลงโทษ และบอกด้วยว่า ฮามาสไม่ได้ต้องการเจรจรจา ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของฮามาส กล่าวโทษว่า การที่อิสราเอลไม่ยอมลงนามข้อตกลงหยุดยิงเป็นสาเหตุให้ตัวประกันต้องเสียชีวิต