UOB ปิด 5 บัญชีสายการบินแห่งชาติเมียนมา
ธนาคารยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ ( United Overseas Bank) หรือ UOB จะปิดบัญชีทั้งหมดของสายการบิน Myanmar Airways International หรือ (MAI) ของเมียนมา ที่มีอยู่ทั้งหมด 5 บัญชี ในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ แม้ทางสายบินจะขอร้องไม่ให้ปิดก็ตาม
สื่อสิงคโปร์ The Straits Times รายงานโดยอ้างสำเนาจดหมายที่ลงนามโดย "ซาราวานัน รามาซามี" (Saravanan Ramasamy) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ MAI ที่ส่งถึงพันธมิตรทางธุรกิจ และการติดต่อจาก UOB ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2566 ที่เสนอไทม์ไลน์ "เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่นและลดการหยุดชะงัก" โดยระบุว่าในวันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ธนาคารจะไม่อนุญาตให้นำเงินสดหรือเช็คเข้าบัญชีของธนาคาร และสายการบิน MAI จะต้องยุติการใช้ธนาคารในการทำธุรกรรม ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2566
สถานการณ์ของ MAI ก็คือการทำธุรกรรมโอนเงินขาเข้า (inward transactions) ทั้งหมด จะถูกปฏิเสธตามเวลาที่กำหนด ยกเว้นการทำธุรกรรมกับสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association)
ในวันที่ 15 สิงหาคม บัญชีของ MAI ที่ทำไว้กับ UOB ทั้ง 5 บัญชี จะถูกยกเลิก โดยจะมีการส่งยอดคงเหลือทั้งหมดเมื่อปิดบัญชี นอกจากนี้ธนาคารยังขอรายการธุรกรรมที่จะเกิดขึ้นกับบัญชีรวมถึงเอกสารประกอบ เพื่อระบุประเภทของสินค้าที่ขนส่งผ่านตู้สินค้าของ MAI เช่น บัญชีสินค้า (cargo manifests) และเอกสารรับรองการรักษาความปลอดภัย (security declarations)
UOB ระบุด้วยว่าจะเพิ่มการตรวจสอบบัญชีของสายการบิน โดยเสริมว่าจะมีความล่าช้าในการประมวลผลการชำระเงินและการเรียกเก็บเงิน แม้ว่าจะไม่มีการระบุเหตุผลเบื้องหลังการปิดบัญชีในเอกสารก็ตาม ขณะที่ MAI พยายามสร้างความมั่นใจให้กับพันธมิตร ด้วยการระบุว่ากำลังดำเนินการทางเลือกอื่น รวมทั้งการเปิดบัญชีกับ DBS หรือธนาคารแห่งชาติสิงคโปร์ (Development Bank of Singapore) และธนาคารอื่น ๆ
ความเคลื่อนไหวของธนาคาร UOB มีขึ้นในเวลา 2 เดือน หลังจากสหประชาชาติออกรายงานที่มีรายละเอียดว่า กองทัพเมียนมานำเข้าอาวุธและวัตถุดิบอย่างน้อย 1,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อผลิตอาวุธตั้งแต่รัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2564
ในรายงานความยาว 56 หน้า ที่รวบรวมโดย ทอม แอนดรูว์ ผู้จัดทำรายงานพิเศษของสหประชาชาติ (UN Special Rapporteur) และเผยแพร่เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ระบุว่าธนาคารของสิงคโปร์ "ถูกใช้อย่างกว้างขวางโดยกลุ่มผู้ค้าอาวุธ" โดยธนาคารสิงคโปร์ 3 แห่ง รวมทั้งธนาคาร UOB ต้องสงสัยว่าถือครอง "เงินสำรองจำนวนมาก" ของเมียนมา ทั้งยังระบุอีกว่าสิงคโปร์ควรให้คำแนะนำที่ชัดเจนแก่ธนาคาร เกี่ยวกับขอบเขตอำนาจตามระบบกฎหมายของพวกเขา ที่จำเป็นต่อการตรวจสอบสถานะทางการเงินที่เพิ่มขึ้น สำหรับการทำธุรกรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเมียนมา
โฆษกขององค์การเงินตราแห่งประเทศสิงคโปร์ได้ตอบคำถามของสื่อว่า ธนาคารต่าง ๆ ได้มีการตรวจสอบวิเคราะห์มากขึ้น เกี่ยวกับสถานะทางธุรกรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงาน และบุคคลในเมียนมาที่มีความเสี่ยงสูง และธนาคารต่าง ๆ ก็ตื่นตัวต่อความเสี่ยงของบริษัทต่าง ๆ และเครือข่ายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ถูกปกปิด ซึ่งถูกใช้เพื่อบดบังความเชื่อมโยงกับกองทัพเมียนมา และได้ใช้มาตรการต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตรวจจับความสัมพันธ์ใด ๆ
