'ทรัมป์' ขึ้นภาษีนำเข้าไทย 37% คลังคาดฉุดจีดีพีอย่างน้อย 1%

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อหารือถึงแนวทางการรับมือกรณีที่สหรัฐฯ ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย 37% ว่า รัฐบาลได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น เพื่อแสดงความตั้งใจของไทยในการปรับสมดุลทางการค้ากับสหรัฐฯ และรักษาความสัมพันธ์ในฐานะคู่ค้าที่ดี โดยตั้งเป้าให้การดำเนินการดังกล่าวแล้วเสร็จภายใน 2-3 สัปดาห์ ก่อนที่คณะผู้แทนไทยจะเดินทางไปเจรจากับสหรัฐฯ

“วันนี้สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูงหลังสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษี ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน และอาจเรียกได้ว่าเป็นวิกฤตการณ์ระดับโลก โดยคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึง GDP ของไทยอย่างน้อย 1% แต่เชื่อว่าหากไทยสามารถสร้างสมดุลทางการค้ากับสหรัฐได้จะช่วยลดความเสียหายทางเศรษฐกิจได้มากที่สุด”
 

นายพิชัย กล่าวว่าการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เกิดจากมุมมองที่ว่าสหรัฐเสียเปรียบดุลการค้ากับประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยมีปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ อัตราภาษีนำเข้าของประเทศคู่ค้าที่สูงเกินไป ขณะที่ภาษีนำเข้าของสหรัฐอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า ดังนั้น สหรัฐจึงมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราภาษีเพื่อดึงดูดให้ภาคการผลิตกลับเข้าไปในประเทศ ตามนโยบาย “America First” ของประธานาธิบดีทรัมป์

ปีที่ผ่านมาประเทศไทยเป็นคู่ค้าที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐ ประมาณ 4 หมื่นล้านดอลลาร์โดยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าจากไทยไปยังสหรัฐสูงถึง 6 หมื่นล้านดอลลาร์ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 70% ของดุลการค้าที่ไทยได้เปรียบ ดังนั้น แนวทางที่สหรัฐใช้เพื่อลดการได้เปรียบของไทยคือการเพิ่มภาษีนำเข้าเพื่อลดปริมาณการส่งออกจากไทย

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยยังคงให้ความสำคัญกับการรักษาความแข็งแกร่งของภาคการส่งออก เนื่องจากภาคการส่งออกยังคงเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จึงมีแนวทางที่จะลดการได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐด้วยการเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น

โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่ยังมีการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ รวมถึงการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อนำมาแปรรูปและส่งออกต่อไป เช่น ข้าวโพดและปลาทูน่า
 

นายพิชัย กล่าวว่า ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมการส่งออกก็อยากจะเห็นค่าเงินบาทที่อ่อนกว่าประเทศคู่แข่งก็จะส่งผลดี อย่างไรก็ตามยังต้องมีเรื่องอื่นที่ต้องพิจารณาประกอบด้วย

นอกจากนี้ ไทยจะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้านำเข้าที่อาจมีการสวมสิทธิ์เป็นสินค้าไทยเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐ โดยจะส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนและวัตถุดิบภายในประเทศ (local content) มากขึ้น และเพิ่มความเข้มงวดในการออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) เพื่อยืนยันว่าสินค้าดังกล่าวผลิตในประเทศไทยจริง

พร้อมกันนี้ รัฐบาลยังเตรียมทบทวนมาตรการทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff Barriers) ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ เช่น การยกเลิกการกำหนดโควต้า ซึ่งในอดีตไทยเคยใช้มาตรการเหล่านี้เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ เช่น กรณีภาษีนำเข้ารถจักรยานยนต์ฮาร์ลีย์-เดวิดสันที่เคยสูงถึง 60-80%

นายพิชัย เน้นย้ำว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินมาตรการต่างๆ อย่างรวดเร็ว เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐ และรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีระหว่างทั้งสองประเทศ โดยหวังว่าการเจรจาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้จะนำไปสู่ข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน