svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

สรท. มั่นใจส่งออกปี 67 โตทะลุเป้า 4-4.5%

สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย มั่นใจส่งออกปี 67 โต 4-4.5% ส่วนปี 68 ตั้งเป้าโต 1-3% ฝ่ามรสุมสงครามการค้า-ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.) เปิดเผยว่า การส่งออกในปี 67 จะขยายตัวได้ 4-4.5 % อย่างแน่นอน โดยหากเดือน ธ.ค.ส่งออกได้มูลค่า 23,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งปีจะขยายตัว 4% แต่หากส่งออกได้มูลค่า 24,000 ล้านดอลลาร์จะขยายตัวได้ 5% ถือว่าการส่งออกปี 67 จบแล้วเกินเป้าหมายที่วางไว้ 1-2% แม้ว่าตัวเลขในช่วงสุดท้ายจะไม่ออกมา สินค้าที่เป็นเรือธงหรือเครื่องยนต์ช่วงโค้งสุดท้ายทำให้ตัวเลขส่งออกทั้งปีขยายตัวได้ 4-4.5% คือ สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์

ส่วนการส่งออกปี 68 สรท.คาดการณ์ไว้กรอบกว้างๆ คือ 1-3 % เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงจากความไม่แน่นอนสูงมาก โดยเฉพาะความรุนแรงจากสงครามการค้า หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ วันที่ 20 ม.ค. ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ กระทบโดยตรงต่อการส่งออกไทย แต่หากต้องการให้ส่งออกปี 68 ขยายตัวได้ 2-3% ต้องทำงานร่วมกันหนักขึ้น เป็นความท้าทายสูง สินค้าที่เป็นเรือธงส่งออกไทยยังเป็นสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มอาหารที่ยังมีแรงส่งได้ดีในปี 68 
 

สรท. มั่นใจส่งออกปี 67 โตทะลุเป้า 4-4.5%

ทั้งนี้หากดูตัวเลขดัชนีภาคการผลิตหรือ PMI ยังคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ต่ำกว่าระดับ 50 ทั้งในสหรัฐยุโรป ขณะที่ค่าระวางเรือหากไม่มีปัญหาสามารถบริหารจัดการได้ และมีแนวโน้มลดลง ดังนั้นความเสี่ยงอยู่ที่สงครามการค้า ซึ่งไตรมาส 1 สรท.คาดว่า การส่งออกของไทยขยายตัวได้เล็กน้อยที่ 1-2% มูลค่า 72,000 ล้านดอลลาร์ โดยช่วงนี้ผู้ส่งออกเร่งส่งออกสินค้าไปยังผู้สั่งซื้อ เนื่องจากปลายเดือนม.ค.เป็นเทศกาลตรุษจีน ต่อเนื่องไปถึงปลายเดือนก.พ.ที่จะสู่เดือนศีลอดหรือเทศกาลรอมฎอนของชาวมุสลิม ทำให้ต้องส่งออกสินค้ามากขึ้น จากนั้นจะเข้าสู่ช่วงไตรมาส 2 จะเห็นผลกระทบจากนโยบายการค้าของนายทรัมป์อย่างชัดเจนมากขึ้น

สรท. มั่นใจส่งออกปี 67 โตทะลุเป้า 4-4.5%

ส่งออกปี 67 สอบผ่าน แต่ปี 68 โจทย์ยากกว่ายังมองไม่เห็นปัจจัยบวก มีแต่ปัจจัยเสี่ยงมาก เสี่ยงน้อย โดยเฉพาะสงครามการค้า ทรัมป์ 2.0 ที่มีความไม่แน่นอน ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกและส่งออกไทย ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไรหรือจะขยายสมรภูมิเพิ่มอีก นอกจากนี้ยังมีเรื่องเงินบาทที่มีความผันผวนรวดเร็ว 3 เดือนแข็ง อีก 3 เดือนอ่อนค่า  และต้นทุนผู้ส่งออกเพิ่มขึ้น ทั้งจากการปรับค่าแรงและค่าไฟฟ้า ต้องวิเคราะห์และหาแนวทางรับมือ รวมทั้งต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน

ทั้งนี้ ทางสรท.มีข้อเสนอ คือ 1.ขอให้ผลักดันให้มีการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและภาคเอกชน กระทรวงพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์) รายไตรมาส เพื่อติดตามสถานการณ์ความผันผวนการค้าระหว่างประเทศ และแก้ปัญหาอุปสรรค 2.เมื่อผลงานออกมาดี ภาครัฐควรจัดสรรงบประมาณมาดำเนินการเรื่องการส่งเสริมการส่งออกให้มากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มเติมงบประมาณด้านกิจกรรมการค้าระหว่างประเทศ ทั้งในประเทศคู่ค้าหลักและตลาดเกิดใหม่ เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการค้า รองรับการบิดเบือนตลาดจากมาตรการทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ทั้งต้องเร่งหาตลาดใหม่ พร้อมกับการรักษาตลาดเดิมไว้ เพราะปัญหามีความซ้ำซ้อนเพิ่มขึ้น มีอุปสรรคจากการออกกฎระเบียบใหม่ที่ไม่ใช่เรื่องของภาษี เช่น มาตรการ CBAM มาตรการ EUDR และอาจมีมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีออกมาเพิ่มเติมอีก

สรท. มั่นใจส่งออกปี 67 โตทะลุเป้า 4-4.5%

ส่วนกรณีที่ไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS มองว่า ทำให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ขยายโอกาสทางการค้าและส่งออกของไทยได้มากขึ้น โดยเฉพาะประเทศบราซิล รัสเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ แอฟริกาใต้ ถือเป็นตลาดใหญ่ที่น่าสนใจ ขณะที่จีนและอินเดียเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง นอกจากนี้ จะทำให้ต้นทุนปัจจัยการผลิตถูกทั้งพลังงาน ก๊าซและปุ๋ย ลดการใช้เงินดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ไทยอาจถูกกีดกันมาตรการการค้าจากชาติตะวันตก

สรท. มั่นใจส่งออกปี 67 โตทะลุเป้า 4-4.5%

สำหรับการส่งออกของไทยเดือนพ.ย. 2567 มีมูลค่า 25,608.2 ดอลลาร์ ขยายตัว 8.2% เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย ขยายตัว 7.0% การนำเข้ามีมูลค่า 25,832.5 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 0.9 % ส่งผลให้ดุลการค้าของไทยในเดือนพ.ย.ขาดดุลเท่ากับ 224.4 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ภาพรวม 11 เดือน(ม.ค.-พ.ย. 2567 ) พบว่า ไทยส่งออกรวมมูลค่า 275,763.6 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 5.1% เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย การส่งออกไทยขยายตัว 4.9% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 282,033.3 ล้านดอลลาร์ขยายตัว 5.7% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 10,032,550 ล้านบาท ขยายตัว 7.8% ส่งผลให้ดุลการค้าของไทยขาดดุลเท่ากับ 6,269.8 ล้านดอลลาร์

สรท. ปรับคาดการณ์การส่งออกปี 2567 เติบโต 5% และประมาณการณ์ปี 2568 เติบโต 1-3%  (ณ มกราคม  2568) โดยมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังต่อเนื่อง ได้แก่ 

1. Trade War (Trump 2.0) 

1.1) ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าซึ่งอาจส่งผลทั้งด้านบวกและลบต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงไทย
 
1.2) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ดึงนักลงทุนกลับประเทศและมาตรการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล อาจส่งผลให้เศรษฐกิจอเมริกามีความร้อนแรง มีผลต่ออัตราเงินเฟ้อ ทำให้ FED ปรับประมาณการณ์ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 4 ครั้งเหลือ 2 ครั้งในปีหน้า 

1.3) แนวทางการลด/ยกเลิกความเข้มงวดของมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมทุกรูปแบบ 

2. ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ เรื่องของการอ้างสิทธิเหนือน่านน้ำซึ่งนำไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารในทะเลจีนใต้ ประกอบกับสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลาง และรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ 

3. ค่าเงินบาทยังคงมีความผันผวน จากปัจจัยภายในรวมถึงเงินเฟ้อและนโยบายการค้าประธานาธิบดีสหรัฐฯ 

4. ต้นทุนของผู้ส่งออกเพิ่มขึ้น 

4.1) การปรับขึ้นค่าแรงงาน ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าและการขนส่ง 

4.2) ทิศทางราคาน้ำมันและต้นทุนพลังงานในตลาดโลกมีความผันผวน จากความเสี่ยงหลายประการ 

5. สถานการณ์การขนส่งทางทะเล สถานการณ์ค่าระวางมีการปรับตัวสูงขึ้น จากการเร่งส่งออกตลาดไปยังสหรัฐฯ และปัญหาทะเลแดงที่ยังมีอิทธิพลต่อการส่งออกไปสหภาพยุโรปและตะวันออกกลาง