นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 18 ธ.ค.2567 อยากเห็นลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก เพราะปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อยังต่ำแม้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังขยายตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หารือหลายครั้งถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในและนอกประเทศ และทำความเข้าใจตรงกันว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยจะกระทบเศรษฐกิจอย่างไร อย่างไรก็ดีคงอยู่ที่ดุลพินิจของ กนง.
สำหรับการกำหนดกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายปี 2568 ใกล้ได้ข้อสรุปและเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือน ธ.ค.นี้ โดยกระทรวงการคลังหารือการดำเนินนโยบายการเงินกับ ธปท.ให้สอดคล้องนโยบายทางการคลังของรัฐบาล โดยอัตราเงินเฟ้อที่แท้จริงต้องมากกว่า 1% อยู่ในระดับเหมาะสมหรือค่ากลางที่ 2%
รวมทั้ง ธปท.ต้องมีมาตรการที่สนับสนุนการเจริญเติบโตเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไปสู่จุดที่เหมาะสม ได้แก่ มาตรการสนับสนุนการลงทุน ซึ่งต้องกำหนดดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ระดับเหมาะสม โดยเมื่อเทียบต่างประเทศและคู่แข่งอัตราดอกเบี้ยต้องอยู่ระดับแข่งขันได้
ด้านนายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) กล่าวว่า การประชุม กนง.วันที่ 18 ธ.ค.นี้ ส่วนตัวคาดว่าคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2.25% แม้มอง กนง.มีโอกาสลดลงได้ เพราะเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ และเห็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยปี 2568 มากขึ้น แต่การลดจะไม่ใช่ครั้งนี้
ทั้งนี้การคาดการณ์คงดอกเบี้ยครั้งนี้มองว่า ธปท.เริ่มคลายความกังวลเกี่ยวเสถียรภาพระบบการเงิน หลังหนี้ครัวเรือนลดลง ควบคู่มาตรการแก้หนี้ ดังนั้น ครั้งนี้อาจเป็นรอบประเมินผลการลดดอกเบี้ยครั้งก่อนถึงความจำเป็นลดดอกเบี้ยในครั้งหน้าโดยเฉพาะเดือน ก.พ.2568 คาดว่า กนง.จะลดดอกเบี้ยอีกครั้ง และการลดดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นได้ 3 ครั้งในปี 2568 ทำให้อัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 1.50% ซึ่งการลดดอกเบี้ยจะเกิดก่อนสิ้นไตรมาส 3 ปีหน้า เพื่อให้สอดคล้องเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำลง
“ลดดอกเบี้ยเป็นความพยายามแบ่งเบาภาระคนมีรายได้น้อย โดยเฉพาะช่วงเศรษฐกิจขยายตัวต่ำ และปีหน้าเห็นความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น การลดจะไม่ใช่รอบนี้แต่จะลดเดือน ก.พ.ปีหน้า และลดต่อเนื่องจบไตรมาส 3 ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.50%”
นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย (KTB) ประเมินว่าโอกาสลดดอกเบี้ยครั้งนี้ มีต่ำกว่า 50% เพราะเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ โดยเฉพาะไตรมาส 4 ปีนี้จะเติบโต 4% และโตต่อเนื่องถึงไตรมาส 1 ปีหน้า ที่ระดับ 4% ดังนั้นมองว่าเศรษฐกิจเติบโตค่อนข้างดี ดังนั้น มองว่า อาจไม่เห็นการลดดอกเบี้ยครั้งนี้ แต่เชื่อว่า ปีหน้าอาจเห็น กนง.ลดดอกเบี้ยลงที่ระดับ 2% บนคาดการณ์เศรษฐกิจปีหน้าโต 2.7-2.8% แต่หากเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่า 2.5% อาจเห็นการลดดอกเบี้ยมากกว่าคาด
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดมีโอกาสขยายตัวเกินระดับ 3% ได้แน่นอน ด้านปัจจัยเสี่ยงปี 2568 ตลาดการลงทุนยังผันผวน ได้แก่ 1.ปัญหาวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนไม่จบง่ายและอาจใช้เวลาเป็นปีทำให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวไม่ดีตามคาด 2.นโยบายการเก็บภาษีนำเข้าของทรัมป์ ส่งผลให้เกิดสงครามการค้าหรือการตอบโต้ทางการค้า และทำให้การค้าทั่วโลกวุ่นวาย 3.ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์หรือสงครามที่แท้จริง ซึ่งก่อนทรัมป์รับตำแหน่งสงครามอาจร้อนแรงขึ้น ทั้งความขัดแย้งรัสเซียและยูเครน,ภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมถึงจีนและไต้หวัน