รายงานข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรมแจ้งว่า เตรียมเสนอกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลังเพื่อเสนอครม.ชุดใหม่พิจารณาอนุมัติขยายเวลาสิทธิประโยชน์ภาษีสรรพสามิต 14% ให้ผู้ผลิตอีโคคาร์ เนื่องจากจะสิ้นสุดมาตรการดังกล่าวในเดือน ธ.ค.66 นี้ด้วยการขยายอายุไปอีก 2 ปี เป็นสิ้นสุดเดือน ธ.ค.2568 เพื่อให้ผู้ผลิตอีโคคาร์ได้มีระยะเวลาในการปรับตัวและพิจารณาปรับเปลี่ยนไปสู่การผลิตรถยนต์แบตเตอรี่ไฟฟ้า
สำหรับเหตุผลสำคัญของข้อเสนอการต่ออายุมาตรการส่งเสริมการลงทุนอีโคคาร์ครั้งนี้ เกิดจากในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกประสบปัญหาขาดแคลนชิปในการผลิตรถยนต์ รวมถึงผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศไทยเจอปัญหนี้เช่นกัน และส่งผลให้การปรับตัวของผู้ผลิตรถยนต์ทั้ง 9 ราย ( นิสสัน ฮอนด้า ซูซูกิ มิตซูบิชิ โตโยต้า ฟอร์ด มาสด้า เอ็มจีและโฟล์กสวาเกน) ผลิตรถยนต์ไฮบริดจ์ปลั๊กอินไม่เป็นไปตามแผน
" ที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมได้ศึกษาแผนที่จะยกระดับการผลิตอีโคคาร์ เพื่อไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี โดยการที่จะปฏิวัติไปสู่รถยนต์ไฟฟ้านั้น จะต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตรถยนต์ไฮบริดจ์ปลักอิน ที่ใช้ได้ทั้งเชื้อเพลิงฟอสซิลและพลังงานไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์ดั้งเดิมไปสู่อีวี"
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า โครงการอีโคคาร์ประสบความสำเร็จในการทำให้มีรถยนต์นั่งมีราคาเอื้อมถึงได้สำหรับผู้บริโภคในประเทศ จึงส่งผลให้สัดส่วนยอดขายรถยนต์นั่งภายในประเทศเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 42-45% รวมทั้งยอดส่งออกรถยนต์นั่งเติบโตต่อเนื่อง และได้กลายมาเป็นโปรดักส์แชมป์เปี้ยนคู่กับรถปิ๊กอัพ โดยกำหนดกรอบให้เป็นรถราคาประหยัดเริ่มต้นที่ราคา 3.5-4 แสนบาท และต่อมาได้เพิ่มข้อกำหนดเรื่องการประหยัดพลังงานให้มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันไม่ต่ำกว่า 20 กิโลเมตรต่อลิตร รวมทั้งใช้พลังงานทดแทนจากเอทานอลได้
นอกจากนี้ มิติตัวถังกำหนดความกว้างไม่เกิน 1.63 เมตร และยาวไม่เกิน 3.6 เมตร ประหนัดเชื้อเพลิงไม่ต่ำกว่า 5.6 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร ผ่านมาตรฐานไอเสียระดับ 4 หรือ EURO และผ่านมาตรฐานความปลอดภัย ECE ของยุโรป รวมทั้งมีการจูงใจด้วยสิทธิประโยชน์และการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และให้สิทธิอัตราภาษีสรรพสามิตที่ 14% ในขณะที่รถยนต์นั่งรุ่นอื่นต้องเสียภาษีสรรพสามิตในอัตรา 30%
อย่างไรก็ตาม จากความสำเร็จของโครงการอีโคคาร์เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจยานยนต์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมรถยนต์นั่งของประเทศไทย ทำให้ไทยเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนและฐานการผลิตเพื่อรองรับตลาดประเทศญี่ปุ่นอย่างสมบูรณ์
ส่วนเป้าหมายการผลิตรถยนต์ในปีนี้ 1.95 ล้านคัน แบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 1.05 ล้านคัน และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 900,000 คัน โดยในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-เม.ย.) มียอดผลิตรวม 625,423 คัน เพิ่มขึ้น 4.61% จากช่วงเดียวกันปีก่อน หลังจากผู้ผลิตรถยนต์ทยอยได้รับชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ แต่ก็ยังน่ากังวล คาดว่าช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้น หลังจากจัดตั้งรัฐบาลและมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มทรงตัว