ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทบิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ระบุ นโยบายแจกเงินดิทัล 1 หมื่นบาท ของพรรคเพื่อไทยหากมองในด้านเทคโนโลยี สามารถทำให้เกิดขึ้นได้และทำได้ในหลายรูปแบบ ผ่านการใช้ระบบฐานข้อมูลดิจิทัล เช่น การแจกเงินรูปของอีวอลเลท หรือ บล็อคเชน โดยสามารถใส่เงินผ่านบัญชีธนาคาร หรือ อ้างอิงจากการถือบัตรประชาชน เพื่อกรระจายเงินดิจิทัลได้อย่างทั่วถึง รวมถึงยังเซทเฉพาะกลุ่มคนที่จะได้รับเงินดิจิทัลและทุกกลุ่มใช้งานได้อย่างไร้ปัญหา อนาคตทั่วโลกและไทยจะต้องเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิทัล การลดปริมาณพิมพ์ธนบัตรลง เพื่อเข้าสู่ Money Digital เพื่อตอบโจทย์กระแสการเข้าสู่ Net Zero การลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ ผลกระทบในด้านเศรษฐกิจภาครัฐต้องคำนึงแหล่งที่มาของงบประมาณและผลที่จะเกิดกับเงินเฟ้อ เพราะต้องใช้เงินจำนวนมากในการแจกและเงินดิจิทัลจะหมุนเร็วมากกว่าการแจกเงินสดจะส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและจะทวีคูณ 2 เท่า ซึ่งหากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะผลักดันนโยบายดังกล่าว จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญพิจารณาถึงความจำเป็นในการใช้นโยบายนี้ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจมากที่สุด
นอกจากนี้ ยังเห็นด้วยที่ธนาคารแห่งประเทศไทย กำลังศึกษาและทดลองการใช้สกุลเงินดิจิทัล หรือ CBDC เพื่อรองรับการเข้าสู่ดิจิทัลมันนีในอนาคต เช่นเดียวกับจีน สหรัฐอเมริกา ที่ศึกษาใช้ดิจิทัลหยวน หรือ ดิจิทัลดอลลาร์ ในการซ์้อสินค้า ทำให้แบงก์รับรู้ข้อดีข้อเสียเพื่อวางกฎเกณฑ์ต่างๆทำให้ไทยไม่ปรับตัวช้าเกินไป
ทั้งนี้ เมื่อมีรัฐบาลใหม่ ควรผลักดันให้กระทรวงดิจิทัล และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นกระทรวงเกรดเอ เพื่อผลักดันนโยบายพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน หรือ ESG โดยชูให้ไทยสู่การปฎิวัติดิจิทัลสีเขียว หรือ Green Digital Revultion เพื่อรองรับกระแสทั่วโลกประกาศให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ ลดการปลดก๊าซเรือนกระจก และก๊าซคาร์บอนด์ไดอ็อกไซด์ จะเริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 ที่กำหนดให้บริษัทเอกชนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องเปิดเผยข้อมูล ESG ระยะแรก และในระยะ 2 และ 3 จะกำหนดให้บริษัที่ในตลาดหลักทรัพย์ต้องซื้อขายสินค้ากับบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีนโยบาย ESG
ซึ่งหากประเทศไทยยังวางนโยบายช้าหรือไม่ปฎิบัติตามข้อกำหนดทั่วโลกจะส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินลงทุนในไทยไหลออก หรือเงินทุนที่จะไหลเข้าลดลง เนื่องจากเงินทุนที่จะไหลเข้าในภูมิภาคเอเชีย จะไหลเข้ามาในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ หรือ อุตสาหกรรมสีเขียว ไม่ใช่อุตสาหกรรมเดิมอีกต่อไป