5 กุมภาพันธ์ 2568 จากกรณี ผู้ต้องหาในแก๊งโอริโอ นำข้อมูลทะเบียนราษฎร์มาเปิดเผยผ่านโซเชียล วานนี้ (4 ก.พ.) เหยื่อได้เดินทางไปแจ้งความไว้ที่ สน.ร่มเกล้า เพื่อให้ทำการตรวจสอบที่มาของทะเบียนราษฎร์ดังกล่าว รวมไปถึงให้ตรวจสอบกลุ่มผู้ต้องหาว่า มีการจ่ายผลประโยชน์ เพื่อให้ได้ทะเบียนราษฎร์ดังกล่าวมาด้วยหรือไม่
ล่าสุดวันนี้ ทนายโรส อังศวีร์ อนุวัตน์รุจิกร และทีมงานของ “กัน จอมพลัง” ได้พาพ่อของเหยื่อรายดังกล่าวมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ นายธีรภัทร์ มีอารีย์ ผู้อำนวยการส่วนนิติการงานทะเบียน (ผอ.สนท.) , นางสาวสุชาดา คำวงษ์ รักษาการในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเทคโนโลยีสาระสนเทศน์และระบบข้อมูล (ผชช.ทส) , และนายชลอ อินทพันธุ์ ผู้อำนวยการส่วนบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐ (ผอ.สบฐ) เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง
ทนายโรส เผยว่า วานนี้ (4 ก.พ.) ได้พาน้องเอ (นามสมมุติ) ผู้เสียหายไปแจ้งความที่ สภ.ร่มเกล้า แต่พ่อของน้องเอ เกิดความไม่สบายใจว่า แก๊งโอริโอ้ สามารถค้นข้อมูลลูกชายได้อย่างไร และนำทะเบียนราษฎร์ไปเผยแพร่บนโซเชียลได้อย่างไร และยังสามารถค้นข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ของผู้อื่นอีกหรือไม่ วันนี้จึงนำผู้ปกครองมายื่นคำร้องให้ตรวจสอบว่า ใครเป็นผู้นำทะเบียนราษฎร์ออกมา
โดยได้มีการเปิดเผยภาพแชตของแก๊งโอริโอ้ โดยข้อความดังกล่าว มีการแชตถามกับบุคคลที่รับตามตัวคนประมาณว่า
หนึ่งในแก๊งโอริโอ้ถามว่า รับตามตัวคนไหมคะ / อีกฝ่าย ตอบ รับครับ ตามแบบไหนครับ
จากนั้น หนึ่งในแก็งโอริโอ้ถามต่อว่า ตามที่อยู่ปัจจุบันคะ , รับกระทืบด้วยไหมคะ , มีชื่อนามสกุลแล้ว , ตอนนี้อยากได้ที่อยู่คะ / อีกฝ่ายตอบ 1000 ได้ที่อยู่ปัจจุบันเลย แต่ไม่ใช่แบบที่อยู่ตามบัตรประชาชน เพราะบางคนไม่ได้อยู่ตามที่อยู่ปัจจุบัน
(ซึ่งเป็นแชทลักษณะมีการซื้อขายข้อมูลทะเบียนราษฎร์) และยังเปิดภาพ สอนแฮ็ก ดักข้อมูล ขาย log telegram log ละ 150 บาท / Telegram 18+ 50บาท ข้อมูลคนไทย มีเกมส์เยอะ50บาท/คน ขายบัตร/เลขบัตร จึงอยากให้ทางเจ้าหน้าที่ช่วยตรวจสอบข้อมูลในส่วนนี้
ด้าน พ่อของน้อง เอ (นามสมมุติ) อายุ 14 ปี ผู้เสียหาย ที่ถูกนำทะเบียนราษฎร์โพสต์ลงโซเชียล กล่าวว่า หลังจากมีข่าวของแก๊งโอริโอ้ ลูกชายได้มาปรึกษาตนว่า ถูกค้นทะเบียนราษฎร์ ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าคนในครอบครัว จะถูกค้นทะเบียนราษฎร์อีกหรือไม่ ที่รู้มาข้อมูลทะเบียนราษฎร์ เป็นข้อมูลส่วนบุคคล ประชาชนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่กลับมีกลุ่มวัยรุ่น นำข้อมูลดังกล่าวมาเผยแพร่ เป็นเรื่องที่น่าตกใจและตนไม่เคยรู้มาก่อน วันนี้จึงตัดสินใจเดินทางมายื่นคำร้องแทนลูกชาย ให้สำนักทะเบียนให้ช่วยตรวจสอบข้อมูลว่า ข้อมูลของลูกชายตน ถูกค้นและนำออกไปเผยแพร่ในโลโซเชียลได้อย่างไร
ขณะที่ นายชลอ เผยว่า เมื่อพ่อของผู้เสียหายต้องการตรวจสอบข้อเท็จจริง ก็ต้องมายื่นคำร้องต่อสำนักงานทะเบียน คาดว่าน่าจะใช้เวลาตรวจสอบประมาณ 1-2 สัปดาห์ จึงทราบว่า ใครเป็นผู้ค้นหาข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของผู้เสียหาย
ด้าน น.ส.สุชาดา กล่าวว่า ระบบทะเบียนราษฎร์ประเทศไทยเป็นระบบปิด ผู้ที่จะเข้าถึงข้อมูลได้ ต้องเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาต หรือทนายความที่รับมอบหมายเท่านั้น การจะเข้าระบบต้องมีรหัสประจำตัวบุคคลของทางเจ้าหน้าที่ การตรวจสอบทำได้ไม่ยากว่าใครนำข้อมูลออกไป เพราะระบบจะมีการบันทึกข้อมูลทุกอย่างย้อนหลังกลับไป 3 ปี ยืนยันข้อมูลนี้ ไม่ได้หลุดจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองแน่นอน
จากนั้น นายธีรภัทร์ ได้ตอบคำถามกรณีสำนักงานทะเบียน เป็นผู้ดูแลข้อมูลประชาชนทั้งประเทศ รู้สึกอย่างไรที่มีการงัดหลักฐาน ในการค้าขายทะเบียนราษฎร์ และจะมีการดำเนินการอย่างไรได้บ้างว่า ถ้าเป็นในกรณีนี้ ทางสำนักทะเบียนมีฝ่ายสืบสวนสอบสวน ในขั้นตอนแรกก็จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบว่า เป็นเจ้าที่ฝ่ายปกครองหรือไม่ หากพบก็จะดำเนินการทางด้านวินัยตามขั้นตอน แต่ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยอื่น ก็จะต้องไปดูระเบียบของหน่วยงานนั้นว่า มีบทลงโทษอย่างไร
เมื่อถามว่า การที่มีกลุ่มบุคคลนำข้อมูลทะเบียนราษฎร์ไปประกาศขาย ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของฝ่ายปกครองหรือไม่ ปกครองสามารถดำเนินการเอาผิดด้วยตัวเองได้หรือไม่ นายธีรภัทร์ เปิดเผยว่า ไม่ว่าการกระทำใดก็ตาม ที่ทำให้ฝ่ายปกครองได้รับความเสียหาย สามารถดำเนินคดีได้ ซึ่งจะอยู่ในส่วนของอีกหน่วยงานหนึ่งในการดำเนินการ ก่อนหน้านี้ก็มีการตรวจสอบและดำเนินการไปแล้ว
มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า มีการนำชื่อ นามสกุล ของน้องเอวัย 14 ปี ไปค้นหาในระบบทะเบียนราษฎร์จริง แต่พบว่าในระบบทะเบียนราษฎร์ มีชื่อและนามสกุลที่เหมือนกันปรากฏขึ้นมา 2 คน และทั้ง 2 มีอายุใกล้เคียงกัน จึงอาจจะเกิดความเข้าใจผิด โดยมีการนำข้อมูลทะเบียนราษฎร์ 1 ใน 2 คนนี้ มาโพสต์ลงโซเชียล เพราะเข้าใจว่า ข้อมูลของน้องเอ เหยื่อวัย 14 ปี แต่จริงๆ เป็นข้อมูลของอีกคน
โดยเจ้าที่ฝ่ายทะเบียนกลาง เมื่อทราบเรื่องก่อนหน้านี้ ได้ตรวจสอบข้อมูลจนทราบว่า ใครเป็นผู้เข้าถึงข้อมูล และได้มีการส่งหนังสือไปยัง ฝ่ายทะเบียนอำเภอที่บุคคลนั้นสังกัดอยู่ เพื่อให้ชี้แจงว่าเพราะเหตุใดถึงต้องมีการหาข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของบุคคลดังกล่าว โดยส่งเอกสารไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา คาดว่าจะได้รับเอกสารตอบกลับในวันจันทร์หน้า
แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่า บุคคลดังกล่าวที่นำข้อมูลออกไปนั้น เป็นใครหรืออยู่หน่วยงานไหน เนื่องจากผู้เสียหายตัวจริงไม่ใช่น้องเอ ชายวัย 14 ปี แต่เป็นเด็กผู้ชายอีกคน แต่ถ้าในกรณีที่ทีมงาน "กัน จอมพลัง" นำผู้เสียหายรายนั้นมายื่นเรื่อง เพื่อขอทราบข้อเท็จจริง จึงจะสามารถเปิดเผยได้ว่า ผู้ที่เข้าถึงข้อมูลดังกล่าวนั้นคือใคร และอยู่หน่วยงานไหน