อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เดินสายหาเสียงใน 3 รัฐสมรภูมิ ได้แก่ เพนซิลเวเนีย, จอร์เจีย และนอร์ทแคโรไลนาในวันอาทิตย์ โดยรัฐเพนซิลเวเนียเป็นรัฐใหญ่ที่สุดใน 7 รัฐสมรภูมิ ที่จะชี้ชะตาผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ผู้สมัครมีคะแนนนิยมสูสีกันอย่างมาก
ทรัมป์กล่าวปราศรัยที่เมืองลิทิตซ์ รัฐเพนซิลเวเนีย โดยวิจารณ์กระบวนการเลือกตั้ง และระบบเลือกตั้งล่วงหน้า โดยบอกว่า ผลเลือกตั้งควรวัดกันที่วันเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน และกล่าวโจมตีว่า สูญเสียงบประมาณไปกับเครื่องลงคะแนน ที่อาจใช้เวลาอีก 12 วัน กว่าจะประกาศผลได้ และถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างนั้น และผู้สนับสนุนบางคนตะโกนว่า “การโกง” และ “การฉ้อฉล” และทรัมป์กล่าวรับทันที่ว่า “ประเทศของเราเป็นประเทศขี้โกง เราจะทำให้ซื่อตรง”
คำอ้างของทรัมป์เรื่องอาจมีการโกงเลือกตั้งทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า เขาพร้อมกล่าวโทษว่าเป็นเพราะความพ่ายแพ้ที่อาจเกิดขึ้นในเพนซิลเวเนีย ทำให้ทางรัฐกังวลว่าจะสามารถประกาศผลคะแนนได้หรือไม่
ทรัมป์ซึ่งรอดชีวิตจากการลอบสังหารเมื่อเดือนกรกฎาคม ยังบ่นเรื่องช่วงห่างของการตั้งกระจกกันกระสุนรอบตัวบนเวทีหาเสียง และปล่อยมุกว่า ที่อยู่ตรงหน้ามีแต่สื่อเฟกนิวส์ มือสังหารอาจต้องยิงฝ่าพวกเฟกนิวส์กว่าจะถึงเขาได้ และเขาไม่มีปัญหา แต่ต่อมาทีมหาเสียงแก้ตัวว่า ทรัมป์พูดด้วยความห่วงใยต่อความปลอดภัยของสื่อ
และในช่วงท้าย เขายังพูดถึงเรื่องเหตุการณ์ผู้สนับสนุนบุกรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มราคม2564 โดยปล่อยมุกว่า เขาไม่น่าส่งมอบอำนาจหลังทราบผลเลือกตั้ง และบอกด้วยว่า ผลเลือกตั้งควรประกาศได้ในคืนวันอังคาร แม้เจ้าหน้าที่ในหลายรัฐเตือนว่า อาจใช้เวลาหลายวันกว่าจะรวบรวมผลคะแนนสุดท้ายได้เสร็จสิ้น
นอกจากนี้ทรัมป์ลงพื้นที่หาเสียง ในเมืองคินสตัน รัฐนอร์ทแคโรไลนา และจบลงที่เมืองมาคอน รัฐจอร์เจียในช่วงค่ำ เขาปราศรัยที่จอร์เจียโดยไม่มีกระจกกันกระสุน และโน้มน้าวให้ผู้สนับสนุนไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันอังคารนี้ ที่เขาบอกว่าเป็นวันสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ
ขณะที่รองประธานาธิบดีแฮร์ริสมุ่งหาเสียงที่เมืองอีสต์แลนซิง รัฐมิชิแกน ซึ่งเป็น 1 ใน 7 สวิงสเตท ท่ามกลางความเสี่ยงว่าจะสูญเสียคะแนนเสียงในกลุ่มชาวอาหรับอเมริกันราว 200,000 คน ที่โกรธแค้นต่อนโยบายของสหรัฐฯ เกี่ยวกับการทำสงครามของอิสราเอล ที่พยายามกวาดล้างฮามาสในฉนวนกาซามานานหนึ่งปี และขยายการโจมตีต่อฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน
แฮร์ริส กล่าวถึงความสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อและความเสียหายย่อยยับในฉนวนกาซา และการเสียชีวิตและการบาดเจ็บของพลเรือนในเลบานอน พร้อมกับให้คำมั่นว่า เมื่อเป็นประธานาธิบดี เธอจะทำทุกอย่างที่อยู่ในอำนาจเพื่อยุติสงครามในกาซา
แต่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอาหรับในมิชิแกน ที่ปกติสนับสนุนพรรคเดโมแครต หันไปสนับสนุนทรัมป์จำนวนมาก และคะแนนนิยมทรัมป์ในหมู่ชาวอาหรับอเมริกันเพิ่มมากขึ้นทั่วประเทศ ไม่ใช่แค่ในมิชิแกน ผลสำรวจของสถาบันอาหรับอเมริกัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอาหรับในสหรัฐฯ 42% สนับสนุนทรัมป์ และ 41% สนับสนุนแฮร์ริส แตกต่างจากผลสำรวจของสถาบันแห่งนี้ในปี 2563 ที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีคะแนนนิยมในกลุ่มอเมริกันอาหรับเหนือทรัมป์อย่างทิ้งห่างที่ 59% ต่อ 35%
นอกจากนี้แฮร์ริสกระตุ้นให้ประชาชนในมิชิแกนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยบอกว่าเป็นโอกาสที่จะเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความแตกแยกนาน 10 ปี การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นหนึ่งในครั้งที่มีผลกระทบสำคัญที่สุดในช่วงชีวิต และแสดงความมั่นใจว่า เธอจะชนะเลือกตั้ง
ในวันเดียวกันแฮร์ริสตอบคำถามสื่อขณะแถลงข่าวที่เมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน โดยบอกว่า เธอใช้สิทธิล่วงหน้าแล้ว และบัตรเลือกตั้งถูกส่งกลับไปยังรัฐแคลิฟอร์เนีย พร้อมกับกล่าวแสดงความมั่นใจในระบบเลือกตั้ง