22 เมษายน 2568 นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมติดตาม กรณีอุบัติเหตุรถบัสโดยสารพลิกคว่ำและเกิดเพลิงลุกไหม้ที่จังหวัดปราจีนบุรี และเร่งรัดการดำเนินการตามนโยบายเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะซ้ำอีก
โดยมี นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัด กระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ผู้แทนกรมทางหลวง และหน่วยงานเกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมกระทรวงคมนาคม
นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ กล่าวว่า จากกรณีรถโดยสารประจำทาง 2 ชั้น หมายเลขทะเบียน 10-7125 อุดรธานี ได้เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถเทรลเลอร์ 18 ล้อ พลิกคว่ำและเกิดเพลิงลุกไหม้ บริเวณ ทล.304 กม. ที่ 208+600 ตำบลบุพราหมณ์ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี เป็นเหตุให้มีทรัพย์สินเสียหาย มีผู้เสียชีวิต 7 ราย และได้รับบาดเจ็บจำนวนมากนั้น
ได้สั่งการให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ถึงสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ โดย ขบ. รายงานว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการลงพื้นที่ตรวจสอบรวมถึงประสานกับพนักงานสอบสวนเพื่อติดตามผลคดีอย่างใกล้ชิด และจะเรียกผู้ประกอบการมาชี้แจงข้อเท็จจริง หากพบว่ามีการกระทำผิดตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกจะพิจารณาลงโทษต่อไป นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมได้มีข้อสั่งการเพิ่มเติมดังนี้
1. ให้ ขบ. พิจารณากำหนดเงื่อนไขการเดินรถเป็นกรณีพิเศษ โดยห้ามรถโดยสารสาธารณะประเภท รถโดยสารสองชั้นทุกชนิด ทั้งรถโดยสารประจำทางและรถโดยสารไม่ประจำทาง เดินรถในเส้นทางที่มีความลาดชัน จำนวน 7 เส้นทาง ประกอบด้วย 1) ทางหลวงหมายเลข 118 ช่วงเชียงใหม่- ดอยนางแก้ว 2) ทางหลวงหมายเลข 103 ช่วงแม่ฮ่องสอน - แม่ตีบ 3) ทางหลวงหมายเลข 1256 ช่วงปัว - อุทยานแห่งชาติดอยภูคา 4) ทางหลวงหมายเลข 2013 ช่วงบ่อโพธิ์ - โคกงาม 5) ทางหลวงหมายเลข 2331 ช่วงโจ๊ะโหวะ - อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า 6) ทางหลวงหมายเลข 304 ช่วงสี่แยกกบินทร์บุรี - วังน้ำเขียว และ 7) ทางหลวงหมายเลข 4 ช่วงเขาพับผ้า - พัทลุง โดยให้ผู้ประกอบการขนส่งดำเนินการจัดรถโดยสารประเภทรถโดยสารชั้นเดียวเข้าทำการเดินรถแทนในเส้นทางดังกล่าว กรณีที่ไม่ผู้ประกอบการสามารถเปลี่ยนรถตามที่กำหนดได้ ให้ ขบ. หารือกับผู้ประกอบการในการเปลี่ยนแปลงเส้นทางเดินรถเป็นเส้นทางอื่นที่มีความปลอดภัยและไม่ผ่านจุดเสี่ยงตามที่กำหนด
2. ให้ ขบ. ดำเนินการเรียกรถโดยสารสาธารณะทุกคันที่มีเส้นทางการเดินรถผ่านจุดเสี่ยงทั้ง 7 เส้นทาง เข้าตรวจสภาพทางเทคนิคโดยละเอียดใหม่ทั้งหมด โดยเน้นการตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบห้ามล้อ (Braking System) ให้เป็นไปตามหลักวิศวกรรมยานยนต์และเกณฑ์ความปลอดภัยที่กฎหมายกำหนด หากพบว่ารถคันใดมีสภาพอุปกรณ์ไม่ครบถ้วนหรือบกพร่อง ให้สั่งระงับการใช้รถดังกล่าวจนกว่าจะได้รับการแก้ไขให้มีความปลอดภัยและผ่านการตรวจสอบจากพนักงานตรวจสภาพรถที่ได้รับการรับรองตามกฎหมาย
3. ให้ ขบ .มีคำสั่งพนักงานตรวจการขนส่งดำเนินคดีกับผู้ประกอบการขนส่งและผู้ขับรถที่ฝ่าฝืนไม่นำรถเข้าจุดตรวจ (Checking Point) ตามที่กำหนด โดยใช้อัตราโทษสูงสุด นอกจากนี้ ให้มีการจัดทำรายงานการเดินทางของรถโดยสารสาธารณะที่ผ่านจุดเสี่ยงทั้ง 7 เส้นทาง เพื่อเป็นการควบคุมกำกับและป้องปรามการกระทำ ที่อาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยในการขนส่ง
4. ให้ ขบ. พิจารณากำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะเพิ่มเติม โดยให้มีการบังคับติดตั้งระบบตรวจสอบและยืนยันตัวตนของผู้ขับรถ (Driver Identification System) ที่สามารถตรวจสอบและยืนยันตัวตนผู้ขับรถก่อนการใช้งานยานพาหนะได้ และให้ติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ภายในห้องโดยสารและบริเวณหน้ารถเพื่อบันทึกพฤติกรรมการขับรถและสภาพการเดินรถตลอดเส้นทาง โดยข้อมูลการบันทึกต้องสามารถเรียกดูย้อนหลังได้ และสามารถส่งข้อมูลมายังศูนย์บริหารจัดการเดินรถโดยสารสาธารณะของกรมการขนส่งทางบกได้ตามที่ร้องขอ
“วันนี้ต้องพูดคุยกับผู้ประกอบการอย่างจริงจัง ต้องเด็ดขาด เพื่อรักษาชีวิตประชาชน ไม่ให้เกิดการสูญเสียอีกต่อไป” นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ กล่าว
ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก "ประชาสัมพันธ์กระทรวงคมนาคม"