svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

“ไอซ์ รักชนก”ฟาด ไทยฮับแก๊งคอลฯ แหยงทุนไทยเทา ปูดชื่อ ตือ คอสโม่

25 มีนาคม 2568
เกาะติดข่าวสาร >> NationTV
logoline

“ไอซ์ รักชนก"ฟาดรัฐบาลช่างเกี่ยง ปล่อยไทยเป็น ฮับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ – ค้ามนุษย์ แหยงนายทุนไทยเทา ปูดชื่อ “ตือ คอสโม่”

25 มีนาคม 2568 ไอซ์ รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน ลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นคนที่ 3 พร้อมฝากผ่านประธานฯ ว่า อยากให้นายกฯ ออกมานั่งฟังในสิ่งที่อภิปรายบ้าง ไม่ใช่นั่งฟังในช่วงที่รัฐมนตรีตัวเองตอบ จากนั้นเริ่มพูดถึงปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ สแกมเมอร์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ดูเหมือนจะได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล แต่มันเป็นเพียงภาพลวงตา ผักชีโรยหน้า ที่รัฐบาลอยากทำให้ประชาชนเชื่อว่าตัวเองเอาจริงเอาจัง

 

แต่ในความเป็นจริงนายกฯ ยังมีพฤติกรรมไม่อาจไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดินได้อีกต่อไป เพราะนายกฯ ขาดภาวะผู้นำ ปล่อยให้เกิดสภาวะการเกี่ยงงานกันหลายครั้งจนเกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนมหาศาล นายกฯ ลอยตัวเหนือปัญหาไม่ยอมตัดสินใจ ทั้งที่ความเสียหายของประชาชนยังเกิดขึ้นรายวัน จนต้องให้รัฐบาลต่างชาติเข้ามากดดัน ถึงได้มีการลงมือ

ไอซ์ รักชนก ไอซ์ รักชนก

 

นอกจากนี้ ปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ ยังมีความจำเป็นที่ต้องทำลายโครงสร้างอาชญากรข้ามชาติ ทั้งทุนสีเทา ไทยสีเทา ที่ร่วมมือกันบ่อนทำลายประเทศไทย รวมถึงต้องอาศัยมาตรการที่เด็ดขาดในการจัดการกลุ่มทุนต่างๆที่ไร้จิตสำนึก แต่นายกฯ จงใจละเว้นการปฎิบัติหน้าที่เพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนและพวกพ้องของตัวเอง จงใจปล่อยให้เกิดการทุจริตในระบบราชการ มองดูการคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นโดยไม่จัดการ สุดท้ายวันนี้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่รู้จะไปจบที่ตรงไหน และความเสียหายทั้งหมดนี้เกิดจากการที่เราต้องมีนายกฯ ชื่อแพทองธาร ทั้งที่ประเทศเราควรได้ตัวเลือกที่ดีกว่านี้ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะการที่ท่านและครอบครัวไปกระทำดีลแลกประเทศกับปิศาจ เอาผลประโยชน์ของคนทั้งชาติไปแลกกับผลประโยชน์ของคนในครอบครัว สิ่งนี้สะท้อนถึงความไม่ความซื่อสัตย์สุจริต ถ้าปล่อยไว้ให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป มีแต่จะทำให้ประเทศชาติเสียหายอย่างร้ายแรงจนยากจะแก้ไขเยียวยา จึงไม่สามารถปล่อยให้ น.ส.แพทองทา เป็นนายกฯ ได้อีก แม้แต่วันเดียว

 

ความล้มเหลวการบริหารราชการแผ่นดิน สะท้อนผ่านตัวเลขและสถิติ มูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวง ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเก็บสถิติเอาไว้ 3-4 ปีที่ผ่านมา 80,000 ล้านบาท แต่ตัวเลขนี้ไม่ได้สะท้อนถึงความเสียหายที่แท้จริง เพราะตัวเลขนี้เก็บจากที่มีคนมาแจ้งความ แต่มีอีกจำนวนมากและเงินอีกมหาศาล ที่ไม่ได้นับรวมอยู่ตรงนี้ ซึ่งอาจมีมูลค่าถึงปีละ 100,000 ล้านบาท

ยกตัวอย่างรายงานของ USIP ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน ที่ศึกษาเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาอย่างยาวนาน ถ้าดูตัวเลขความเสียหายในการหลอกลวงเงินทั่วโลกปี 2566 สูงถึง 2.24 ล้านล้านบาท โดยไปอยู่ที่ 3 ประเทศ ที่ติดกับไทย ในปี 2566 ลาว หลอกเงินคนได้ถึง 370,000 ล้านบาท ที่กัมพูชา แก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงคนไปได้  430,000 ล้านบาท และอันดับที่ 1 คือ เมียนมา 700,000 ล้านบาท ตนอยากให้ดูตัวเลขที่กัมพูชา เพราะมันคือตัวเลขที่หลอกลวงคนไทยเป็นหลัก ปีเดียว 430,000 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทย เคยตั้งเป้าอยากขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยอยากให้ประเทศไทยเป็นฮับท่องเที่ยว ฮับดิจิทัล ฮับการบิน ฮับขนส่ง แต่เป็นไม่ได้ซักฮับ ทุกวันนี้ที่เป็นได้คือ ดิจิทัลออนไลน์แบบครบวงจร เป็นฮับส่วนกลางของการค้ามนุษย์ เป็นฮับขนส่งแบบอิฐหินดินปูน ไปสร้างความมั่งคั่งให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สิ่งเหล่านี้สะท้อนผ่านตัวเลขของนักท่องเที่ยวที่กำลังลดลง ตอนนี้บางชาติ อย่างเช่น จีน ไม่อยากมาไทย เพราะไม่เชื่อมั่นในความปลอดภัยของตัวเอง

 

ไอซ์ รักชนก ไอซ์ รักชนก

 

ตัวเลขความเสียหายหรือนักท่องเที่ยวที่ลดลง เป็นตัวเลขที่วัดมูลค่าได้ แต่สิ่งที่วัดมูลค่าไม่ได้คือตัวเลขของชีวิตที่ต้องสูญเสียไป จากการถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง และปัญหานี้ยืนยันว่าเร่งด่วนร้ายแรง

 

ดิฉันกล้าการันตีว่า ทุกคนเคยเจอกับตัวแน่นอน เพราะแม้กระทั่งนายกฯ ที่ถูกห้อมล้อมด้วยความปลอดภัยหลากหลายรูปแบบ ก็ยังเจอปัญหานี้ นายกฯ ควรสืบเรื่องนี้และหาต้นตอ ว่าข้อมูลรั่วนี้มาจากไหน แล้วเอาผิดคนที่ทำข้อมูลท่านรั่ว เพราะถ้ามิจฉาชีพยังเข้าถึงนายกฯ แล้วตาสีตาสาที่ไม่ทันเทคโนโลยี เขาจะรอดหรือ ประชาชนอยากรู้วิธีการแก้ปัญหามากกว่า ไม่ได้อยากได้คนมาบอกว่าฉันก็เจอปัญหาเหมือนกับเธอ ถ้าเป็นนายกฯ แล้วทำได้แค่นี้ ไม่ต้องมีนายกฯ ที่ชื่อแพทองธาร ก็ได้

 

กระบวนการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้งระบบ ต้องอาศัยอำนาจของนายกฯ เท่านั้น ไม่ใช่ฝากคนโน้นคนนี้ดูแลแบบส่งๆ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องทำงานข้ามกระทรวง ต้องมีการสั่งการและตัดสินใจมาตรการสำคัญ เพราะมันเกี่ยวกับหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคง เศรษฐกิจ และต่างประเทศ ดังนั้นคนที่ต้องมาดูแลจัดการและตัดสินใจคือนายกฯ ที่ถืออำนาจบริหารและราชการแผ่นดินสูงสุด แต่ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างจริงจังที่ต้นตอ เพราะมีนายกฯ ชื่อ แพทองธาร จึงติดขัดไปหมดทุกกระบวนการ เริ่มตั้งแต่ไม่มีความสามารถในการตัดสินใจบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างเด็ดขาด ไม่สามารถจัดการรัฐมนตรีที่นั่งอยู่ใน ครม. ของตัวเองได้ และยังจงใจไม่ทำบางอย่างเพื่อเอื้อกลุ่มทุน ไม่กล้าจัดการไทยเทา เพราะมันก็คือคนใกล้ชิดสนิทสนมที่นั่งอยู่ตรงนี้

 

สำหรับการดำรงอยู่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาศัยทรัพยากรจากไทยมาเกื้อหนุน ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า อินเตอร์เน็ต อิฐหินดินปูน ไปจนถึงทรัพยากรคน ซึ่งนายกฯ มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจ แต่ปล่อยปละละเลยจนเละตุ้มเป๊ะ ขนาดสื่อของเมียนมายังออกข่าวว่าประเทศไทยเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้แก๊งคอลเซนเตอร์ สแกมเมอร์ เพราะเราเป็นคนส่งไฟฟ้า ส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตให้ เรียกว่าเขาตะโกนด่าข้ามประเทศคนได้ยินทั่วโลก แต่นายกฯ นิ่ง แม้กระทั่งการตัดไฟ ยังเกี่ยงกันไปมา โดยเฉพาะ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ที่กำกับดูแลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ. ก็ยังไม่ดำเนินการ ตอบโต้กันไปมา จนเป็นลูกอีช่างเกี่ยง แต่นายกฯ ก็ยังไม่มีปฏิกิริยา

 

แต่เรื่องมาจบตอนที่ นายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน มาประเทศไทย จึงนำมาสู่การประชุมจนมีการตัดไฟแบบที่ นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน พูดมาตลอด 1 ปี สุดท้ายคนที่ไปสับสวิตช์ไฟ คือ คนที่บอกว่าไม่ตัดตั้งแต่แรก คนที่ไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเองแบบนี้ ขอตั้งคำถามทางสังคมว่าเคยต้องรับผิดชอบอะไรบ้างหรือไม่ และนายกฯ ก็แทบไม่ออกมาตอบอะไรเลย จนกระทั่ง นายทักษิณ ชินวัตร ออกมาพูดเรื่องตัดไฟเพื่อนบ้าน ตนจึงไม่แน่ใจว่านี่คือคนที่มีอำนาจสั่งการ หรือจะเป็น นายหลิว จงอี้

 

มันน่าเศร้าใจแค่ไหนที่คนไทยต้องมาหวังให้รัฐบาลจีน กดดันให้รัฐบาลไทยทำหน้าที่ของตัวเอง ก็ต้องขอบคุณประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่ให้ นายกฯ เข้าพบเมื่อ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 นายกฯ จึงได้ตัดไฟแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก่อนหน้านั้นเพียง 1 วัน

 

ดิฉันเชื่อเหลือเกินว่า ถ้าการพบปะครั้งนี้ไม่เกิดขึ้น เราคงไม่ตัดไฟ ก็จะเกี่ยงวนไปมาแบบนี้เป็นปีๆเรื่อยๆตลอดไป นอกจากนี้ การที่นายกฯ ไทย ไปพบกับ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง คนไทยมีความคาดหวังว่า เราจะได้มีมาตรการ มีความร่วมมือปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่นายกฯ กลับมาบอกว่า สี จิ้นผิง ชอบกินทุเรียน และเรากำลังได้แพนด้าเพิ่มอีก 2 ตัว

 

การตัดไฟเป็นเพียงก้าวแรกในการทำลายฐานที่มั่นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ก้าวได้อย่างยากเย็น และใช้เวลาเป็นปี ทั้งหมดนี้เราตัดไปได้แค่ 5-6 จุด ในฝั่งเมียนมาเท่านั้น แต่ฝั่งที่หลอกลวงคนไทยจริงๆคือกัมพูชา ก็แปลกใจว่าควรมีมาตรการก้าวหน้ากว่านี้ เพราะบุพการีกับลูกก็สนิทกัน แต่ทำไมไม่มีความก้าวหน้า ที่สำคัญสัญญาณอินเตอร์เน็ตของไทยสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน จึงเป็นเหมือนท่อน้ำเลี้ยงที่หล่อเลี้ยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้มีศักยภาพในการหลอกทั้งคนไทยและคนทั่วโลกได้อย่างไม่สะดุด

 

แต่การถอนเสาหรือถอนสัญญาณ มีความคืบหน้าน้อยมาก ข้อมูลการใช้อินเตอร์เน็ต เอกชนรู้ กสทช. รู้ แล้วรัฐบาลจะไม่รู้หรือ แต่ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตเหล่านี้ไม่ได้คิดจะจัดการเรื่องนี้จริงจัง เพราะเขาได้กำไร ไม่ได้คิดว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องมานั่งรับผิดชอบต่อสังคม เพราะฉะนั้นหน้าที่นี้ก็ต้องเป็นของรัฐบาล ต้องออกนโยบายให้ กสทช. บังคับให้ค่ายมือถือ หรือค่ายให้บริการอินเตอร์เน็ต ออกมาตรการที่รัดกุม

 

แต่จนถึงวันนี้ กสทช. เป็นเหมือนตัวถ่วงที่ทำให้เรื่องนี้สำเร็จ ล่าสุดเห็นนายกฯ เรียก กสทช. มาคุย ก็ถ่ายรูปและอัปลงโซเชียล แต่ไม่ได้บอกว่าให้เขาทำอะไร ด้วยกรอบเวลาเท่าไหร่ และคุยกันต่อไปเมื่อไหร่ ตนอยากเห็นการจัดการเสาอินเตอร์เน็ตที่เข้มข้นพอๆกับการตัดไฟ แต่เราเห็นความคืบหน้านี้น้อยมากจากรัฐบาลแพทองธาร

 

ส่วนเรื่องการปิดท่าข้ามนั้น ตนถามย้ำใน กมธ.ความมั่นคงฯ หลายครั้งว่าใครต้องเป็นคนปิดกันแน่ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ มีแต่การโยนกันไปมาระหว่างศุลกากร ผู้ว่าฯ สมช. ตอกย้ำถึงการเป็นรัฐบาลลูกคุณช่างเกี่ยง ดังนั้นถ้าหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งแก้ไม่ได้ นายกฯ ต้องเป็นคนสั่งการ แต่เรื่องนี้คุยกันมาเป็นปีไม่จัดการ พอฝ่ายค้านตั้งท่าจะอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถึงเพิ่งมาสั่งปิดไปท่าหนึ่ง แบบนี้ ควรจะเพิ่มอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกสัปดาห์ นายกฯ จะได้ตั้งใจทุกวัน

 

การดูแลชายแดนที่ปล่อยปละละเลยแบบนี้ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ต้องมีมาตรการจำกัดพื้นที่ฟรีวีซ่า โดยการห้ามนักท่องเที่ยวเข้าจังหวัดที่มีความเสี่ยง เช่น พื้นที่ชายแดนที่มีปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่พรรคประชาชนเสนอเรื่องนี้ มารอดูกันว่าเรื่องการจำกัดวีซ่า สุดท้ายนายกฯ  กว่าจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดต้องใช้เวลาอีกกี่เดือน

 

ต้นน้ำอีกอย่างคือเรื่องการค้ามนุษย์ เพราะแก๊งเหล่านี้ต้องการแรงงานทาส แต่เราเห็นการบุกปราบปรามการค้ามนุษย์น้อยมากจากรัฐบาล จนมีข่าวซิงซิง ดาราจีน โดนหลอกไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รัฐบาลไทยที่นิ่งเฉยมาตลอด กลับดำเนินการทุกขั้นตอนอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทำให้เกิดข้อสงสัยกันทั้งโลกว่า ที่ผ่านมาแก๊งมิจฉาชีพกับตำรวจประเทศไทยรู้งานกันอยู่แล้วหรือไม่

 

ส่วนปัญหากลางน้ำ ในการเข้าถึงตัวผู้เสียหาย แก๊งมิจฉาชีพต้องอาศัยของหลักๆ 4 อย่าง คือ ข้อมูลส่วนตัว ซิมม้า บัญชีม้า และคริปโตเคอร์เรนซี ก็ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องบังคับใช้กฏหมาย เพื่อบังคับค่ายมือถือให้จัดการ ขณะเดียวกัน รู้กันดีว่าคริปโตเคอร์เรนซี เป็นแหล่งฟอกเงินที่สะดวกที่สุด การที่นายกฯ ปล่อยปละละเลยจึงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากตั้งใจจะไม่ควบคุม การที่เรามีนายกฯ ชื่อแพทองธาร กลับทำให้ทุกอย่างติดขัดไปหมด เพราะจะแก้เรื่องไหนก็ติดประโยชน์ของกลุ่มทุนใกล้ตัว รัฐบาลเห็นประชาชนสำคัญน้อยที่สุด จึงเอาประโยชน์ของประชาชนไว้ทีหลัง

 

ส่วนสุดท้าย กระบวนการปลายน้ำ คือ การปราบปรามอาชญากรรมและจัดการอาชญากรทั้งระบบ การบริหารที่ผิดพลาดของนายกฯแพทองธาร ทำให้ประเทศไทยตอนนี้กลายเป็นสวรรค์ของอาชญากรโดยสมบูรณ์แบบ เรื่องแรกคือการปล่อยให้สิ่งที่เป็นเสมือนเกราะป้องกันด่านแรกสุดของเราคือระบบเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ของสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ใช้การไม่ได้ ไม่สามารถเก็บอัตลักษณ์ใครเพิ่มได้อีกแล้ว และไม่สามารถเก็บได้เลยมาตลอดปี 2567

 

อีกทั้งเรามีการให้ฟรีวีซ่ากับนักท่องเที่ยว แต่ก็มีบรรดาแก๊งอาชญากรที่แฝงตัวเข้ามาด้วย ดังนั้นการเก็บข้อมูลไบโอเมตริกซ์จึงมีความสำคัญอย่างมาก แต่ระบบที่หมดอายุไป สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ก็วางแผนว่าจะมีระบบใหม่มาแทนที่ ซึ่งต้องใช้เวลากว่าระบบพร้อมใช้งานคือเกือบ 3 ปี นี่หรือการบริหารงานของมืออาชีพที่มีแต่คำโฆษณา แม้แต่ความปลอดภัยเบื้องต้นยังมอบให้กับคนไทยไม่ได้เลย

 

กรณีการสั่งย้าย พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินทร์ต๊ะสืบ หรือ “ผู้การต๊ะ” ที่มีข้อกล่าวหาเชื่อมโยงกับ "เมียวดีคอมเพล็กซ์” แต่สั่งย้ายแล้วมีการนำไปขยายผลต่อหรือไม่ หลายคนตั้งคำถามว่า นายกฯ จะกล้าทำอะไรจริงจังหรือไม่ เพราะเบื้องหลังของคนๆ นี้คือ นักการเมืองที่มีอิทธิพลแถวเชียงราย อักษรย่อ ย. ที่ผู้การต๊ะเคยรับใช้ เป็นลูกน้องคนสนิทของพ่อนายกฯ อีกเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการเกี่ยงกันออกหมายจับ “หม่องชิตตู” ผู้นำกองกำลังกะเหรี่ยง BGF ระหว่าง DSI กับ อัยการสูงสุด ตอนนี้ผ่านไป 3 สัปดาห์แล้วก็เงียบ

 

ยังมีนายทุนไทยเทา เจ้าของบ่อนผู้กว้างขวางฉายา “ตือ คอสโม่” ที่เข้าถึงคนในวงการการเมือง เข้าถึงคนในวงการตำรวจ มีบ่อนในประเทศไทย โดนบุกทลายกี่ครั้ง ก็กลับมาเปิดได้ เพราะผู้สนับสนุนเบื้องหลังแข็งแกร่ง

 

ถ้านายกฯ จริงจังที่จะจัดการธุรกิจสีเทาแบบที่พูดว่า “ไม่จบไม่เลิก” ก็ต้องกล้าเล่นงานตัวใหญ่ๆ แบบ “ตือ คอสโม่” ให้ได้ แต่ดูทุกกระบวนการกลับไม่ลงมือทำอะไรจริงจัง ปัญหาที่ดูเหมือนว่าจะคลี่คลายไป แต่แท้จริงแล้วพร้อมที่จะปะทุขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะรัฐบาลไม่แก้ปัญหาที่ต้นตอแบบถอนรากถอนโคน ไม่กล้าแตะต้องผลประโยชน์ของกลุ่มนายทุน เพราะไม่ว่าจะทุนกลุ่มไหนก็เคยร่วมโต๊ะอาหารกับพ่อนายกฯ ไม่กล้าจัดการไทยเทา

 

การคอร์รัปชันมีในทุกระดับ แต่นายกฯ ทำเป็นมองไม่เห็น ทำให้ประเทศกลายเป็นสวรรค์ของมิจฉาชีพ การทำดีลแลกประเทศกับชนชั้นนำและกลุ่มทุนของรัฐบาลนี้ ทำให้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ไม่จบซักที ครอบครัวชินวัตรเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติ เอาอนาคตของทุกชีวิต ไปแลกกับผลประโยชน์ของตระกูลตัวเองหรือไม่ ขโมยโอกาสและความฝันของคนไทยไปทำแลกกับการพาพ่อกลับบ้านแบบไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว ด้วยเหตุนี้ ไม่อาจไว้วางใจให้ แพทองธาร ชินวัตร ดำรงตำแหน่งต่อไปได้อีกแม้แต่วันเดียว

logoline